ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

สุดจริง เรื่อง...พังงา

บันทึกการเดินทาง

21-22.09.18

จ.พังงา


เอาล่ะ มาพบกันอีกครั้ง
กับทริปภาคใต้ของเรากันในวันนี้
เราจองตั๋วกันไว้ ว่าจะไปภูเก็ตอีกครั้ง
หลังจากครั้งที่แล้ว เราได้ไป ในเดือน พ.ค

ครั้งนั้นเราไปหลาดใหญ่ old town ไปดำน้ำเกาะราชา
สวยมากกกก ไปแหลมพรหมเทพ แล้วก็ไปป่าตอง
คือ แค่ 2 วันแต่ไปกันแบบ บ้าระห่ำมาก

แต่ครั้งนี้เราบินไปภูเก็ต แต่จุดหมายเราคือ
"พังงา"

ด้วยความที่ว่าแค่ข้ามสะพานสารสินไป
ก็คือจังหวัดพังงาแล้ว 
ครั้งนี้เราก็เลยขอไปลุยกันที่พังงากัน


เราเริ่มต้นเหมือนเดิม คือ
เลิกงานเย็นวันศุกร์ เราก็เรียกแท็กซี่ 
บึ่งไปสนามบินดอนเมือง
รถในเย็นวันศุกร์นั้น เปนที่รู้กันดีว่า
โคตรของโคตรติด 

สรุปโดนค่าแท็กซี่ไปร้อยกว่าบาท
ก็รีบวิ่งไปเช็คอิน 
เกือบไม่ทันจร้าา 
แต่ ทัน





เมื่อเรามาถึงสนามบินภูเก็ต 
เราได้ทำการเช่ารถมอเตอร์ไซค์จากร้านน้องพร
ร้าน พร รถเช่า ครับผม
บริการดีมาก มาถึงแค่โทรหา ก็ขับรถมารับเรา
ไปที่ร้าน สะดวกสบายมาก
เราได้คลิ๊กตัวใหม่ รถยังใหม่มากๆ
ขับดีมาก ที่นี่เช่ารถวันละ 250 บาท
มัดจำ 1000 บาท





เอาล่ะเมื่อเราได้รถแล้วก็ไปที่พักกัน
โดยที่ในคืนนี้เราพักกันใกล้ๆสนามบิน
เพราะดึกมากแล้ว แต่ดีที่จองมา
เราจองไว้ที่ Hubb phuket hostel
แต่จองไว้แบบ ดับเบิ้ลbed นี่เป็นครั้งแรก
ที่จะได้นอนแบบดับเบิ้ล ครั้งแรก















เราไปเชคอินโรงแรม มีห้องน้ำในห้องเลย
โคตรดี 
หลังจากเก็บกระเป๋า ก็ออกมาหาอะไรกิน
นั่นคือบะหมี่ ชายสี่ แถวๆนั้นแหละ

วันนี้ไม่มีอะไรมาก รีบนอนเพราะพรุ่งนี้
ตื่นแต่เช้ารีบเดินทางไปพังงา



22.09.18

เช้านี้เราเลือกกินอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังจากกินเสร็จ ก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเก็บของ
เตรียมตัวออกไปพังงา







เราเริ่มเดินทางกันประมาณ 
8 โมง ขับไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานสารสิน 
จอดแวะถ่ายรูป เดินเล่นไปเรื่อยๆ ชิวๆ
จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อ โดยที่ในวันนี้
เป้าหมายเราคือ ตะกั่วป่า
ซึ่งอยู่ห่างออกไปเป็นร้อยกิโล เราต้องทำเวลา
เพราะเราต้องกลับมานอนที่เสม็ดนางชี อีกเกือบร้อยกิโล
นี่มันคือทริปที่บ้าระห่ำสุดๆ คือแค่ขับรถก็เหนื่อยแล้ว
แต่เมื่อวางแพลนไว้แล้วก็ต้องลุยต่อ









จากนั้นเราก็ขับไปเรื่อยๆ แวะปั๊มตราอุทยานไปเรื่อย
ทั้งเขาหลัก ทั้งหมู่เกาะสิมิลัน สนุกดี
ไปถึงตะกั่วป่าช่วงเที่ยง เราต้องเติมพลังกันหน่อย
โดยที่แวะไปร้านผัดไท ใจเย็นๆ ร้านชื่อดังของตะกั่วป่า
คนเยอะมาก แต่ก็อร่อยมากเช่นกัน



อร่อยแค่ไหนลองดูละกันว่าหมดเกลี้ยง

















จากนั้นเราไป คลองสังเน่ห์ เป็นอเมซอนเมืองไทย
จริงๆแล้วเป็นเหมือนชุมชน ที่มาทำให้คลองแห่งนี้
เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่พอเข้าไปก็ร่มรื่นนะ
เป็นป่า ถ้าอยากเห็นงู ต้องเช่าเรือของชาวบ้าน
เลาะไปตามคลองนะ แต่ตอนที่ผมไปคือน้ำแห้งละ







คืออยากให้เช็คน้ำขึ้นน้ำลงกันด้วย
เพราะถ้าน้ำลง มันดูไม่น่าล่องไปตามคลองเท่าไหร่
จากนั้นเราก็ออกไปตรงสะพานเหล็ก ของพังงา
เหล็กจริงๆ ไม่มีอะไรผสมเรย
ไม่เข้าใจว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ยังไง 555+
เพราะจริงๆแล้วสะพานตรงนี้
สร้างไว้เชื่อมหมู่บ้านกับถนนใหญ่
ให้จักรยานและมอไซค์ขับผ่านไปได้
แค่นั้นจริงๆ






เอาล่ะ ฝนก็จะตก เราต้องรีบกันหน่อย
ก็ขับต่อไปยังตัวเมือง เป็นเมืองเก่าของ ตะกั่วป่า
มันคลาสสิคดีนะ คนไม่ค่อยมี
อารมณ์คล้ายๆกับที่สงขลา







จอดรถแวะถ่ายรูปกันแป๊ปนึง
ตอนนี้ฝนไล่หลังมาติดๆ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ บ่าย3
เราต้องกลับไปกางเต็นท์กันที่
เสม็ดนางชี ที่อยู่ห่างไปอีก เกือบร้อยกิโล
แถมยังมีฝนนที่รออยู่ข้างหน้าอีก

พอขับมาได้ซักครึ่งชั่วโมง
เราเห็นฝนมันตกอยู่ข้างหน้า แค่ระยะประมาณ 50 เมตร
แต่ตรงเรายังไม่ตก เลยจอดรถถ่ายรูป
ยังไม่ถึงนาทีฝนก็ไล่มาหาเรา
ทำให้เราต้องวกรถกลับ ขับรถหนีฝน
บ้าไปแล้ว !! 555+
เกิดมาในชีวิตเพิ่งเคยขับรถหนีฝนนี่แหละ
สรุปรอดนะ แวะเข้าปั๊ม ซือชุดกันฝน
แล้วถอดกางเกงยีนส์ออก เพราะต้อง
ใช้ใส่ทำงานวันจันทร์ 555+

เหลือแต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวขับรถ
โคตรบ้าเรย !!
คราวนี้ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก
แต่ไม่สนแล้วค้าบบบ ลุยฝนไปเรยย
ไม่งั้นเราไปไม่ถึงแน่ ถ้ามัวแต่จอดรอฝน
แต่นั่นทำให้เราทะลุขีดจำกัดชิบหาย

เพราะเราได้เห็นอะไรที่แม่งโคตรสวย
ขากลับเรากลับไปอีกทาง
ผ่านป่า ผ่านภูเขา มันคงจะเป็นทางลัดอะไรซักอย่าง
แต่ไม่ใช่ทางเดิมที่เรามา
แต่มันโคตรดี
เพราะมันธรรมชาติมากๆ ขับขึ้นเขา ลงเขา
รถวิ่งน้อยมาก มีอยู่ช่วงนึง จอดรถลงไปถ่าย
วีดีโอ แม่งโคตรบ้าอ่ะ


อารมณ์แบบ วิ่งลุยฝน
วิ่งเล่นน้ำฝน เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก
เชี่ยยย สนุกสัส !!


พอเราเข้ามาถึงในเมือง
จอดติดไฟแดง คนก็มองกันเต็ม
555 ใส่บ็อกเซอร์ตัวเดียว ไปเรยพี่

จำได้ว่าเราขับไป พระอาทิตย์ก็กำลังจะตก
วิวที่เห็น คือพระอาทิตย์กะลังจะตก
คือ มันโคตรดี
กว่าจะมาถึงปากซอยก็ทุ่มนึง แล้วยังต้องขับเข้า
ไปในซอยหมู่บ้าน ซึ่งต้องผ่านป่ายาง
ผ่านป่าปาล์ม ซึ่งไม่มีไฟทางเรย
มีแค่จีพีเอสนำทางและไฟหน้ารถที่นำทางไปแค่นั้น
มันเป็น 10 กิโล ที่โคตรยาวนาน

ในที่สุดเราก็มาแวะที่ร้านอาหารตามสั่ง
แวะซื้อข้าวกล่องขึ้นไป 2 กล่อง
แล้วขับต่อไปที่ทางขึ้นเสม็ดนาชี
ซึ่งเราไม่ได้ซื้อตั๋วรถ เราเลือกที่จะเดินขึ้น
ค่ากางเต็นท์คนละ 100 บาท
ก็เดินกันฝ่าความมืดขึ้นเขา 555
เกือบ 2 ทุ่มละนะตอนนั้น
เดินขึ้นเขากัน 2 คน
เดินไปได้ครึ่งทาง มีไฟรถกำลังขับขึ้นมา
แล้วแวะบอกเราให้ขึ้นรถมาเรย
เด่วขึ้นไปส่ง โห พี่แม่งโคตรใจดี
พอขึ้นมาถึง พี่เข้ามากระซิบบอกว่า
ถ้าใครถามหาบัตรบอกว่าซื้อขึ้นมาแล้วนะ


จากนั้นเราก็ไปหาพื้นที่กางเต็นท์
โชคยังดี คนกางไม่เยอะ เราเลือกกางตรงริมเรย
ตื่นเช้ามา วิวดีแน่นอน
ขนาดว่า ตอนนั้นมืดมากแล้ว
แต่ยังเห็นวิว เป็นเงาดำๆ คือแบบ
แม่งยิ่งใหญ่มาก ไม่อยากคิดเรยว่า
ตอนเช้ามันจะสวยขนาดไหน

จากนั้น เราไปอาบน้ำแล้วมานั่งกินข้าวกัน
โคตรอร่อย กับวิวที่อยู่ตรงหน้า
พอดีมีพี่แถวนั้น เค้าชวนกินเบียร์จร้า
แต่เราก็ไม่ได้ไปนั่งร่วมวงหรอก
เกรงใจพี่เค้า

แต่พี่เค้าเอาฟูลมูนมาให้เรา 2 ขวด
โห พี่เค้าโคตรใจดีเรยยยย
เค้าบอก ถ้ากลุ่มพี่คุยเสียงดัง บอกได้นะ
เราก็บอกตามสบายเรยพี่ เสียงไม่ดังหรอก

เราก็เลยเข้านอนและรอดูความสวยงามในวันพรุ่งนี้


22.09.18

เมื่อรุ่งเช้าตื่นมา
ก็ต้องพบกับความสวยงามตรงหน้าจริงๆ
สวยแบบจริงจังอ่ะ
คือเปิดเต๊นท์มาแม่งก็คือสวยเรย คือวิวหลักล้านจริงๆ
และผู้คนมาจากไหนไม่รู้ เต็มไปหมดเลย
คือเค้าอาจจะเพิ่งขึ้นมาเมื่อตอนเช้ามืด














แต่เราเปิดเต็นท์มาคือเจอวิวแบบนี้เรย
เป็นภูเขา หมอก พระอาทิตย์ และน้ำทะเล อยู่ตรงหน้าเรา
เชี่ย ฟินสัส สัส

แต่อย่าให้สายนะ เพราะพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าเรา
ร้อนชิบหายเรย ไอ้ชิบหาย
ไม่มีอะไรบดบังทั้งนั้น

คืออยากให้มาเห็นจริงๆ ซักครั้งในชีวิตว่ามันสวยกว่าในรูปจริงๆ
จากนั้นผมก็รีบเก็บเต็นท์ เข้ากระเป๋า
แล้วก็รีบเดินลงไปด้านล่าง

ไปท่าเรือบ้านหินร่ม ที่อยู่ใกล้ๆ แถวๆนั้น
คือไปเที่ยวดูวิถีชีวิตเฉยๆอ่ะนะ
ก็ไปเจอชาวบ้านที่เค้ามีหน้าที่พานักท่องเที่ยวออกเรือไปเที่ยว










ก็คุยกันซักพัก แต่พวกพี่เค้าเฟรนลี่สุดๆ
คนใต้หน้าโหด แต่ใจดีนะเออ

จากนั้นเราก็ขับรถย้อนกลับไป วัดถ้ำสุวรรณคูหา
ย้อนกลับไปเกือบ 50 กิโล แม่เจ้า โคตรอึด กลางแดดร้อนๆ

คนไทยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นถ้ำที่ใหญ่มาก
ตอนแรกคิดว่าถ้ำไม่ใหญ่มาก แต่พอมาถึง
ถ้ำก็สวยมาก เพราะข้างในมีหินย้อย
แล้วเค้าทำแสงให้ส่องไปกระทบกับผนังถ้ำ ทำให้ยิ่งสวยเข้าไปอีก













และลิงที่นี่ก็โคตรเยอะ ส่วนใหญ่ชาวต่างชาติจะเยอะมากที่นี่
เราก็รีบเที่ยว รีบดู
แล้วก็รีบกลับ โดยผมกลับไปทางไปภูเก็ต
แล้วก็ย้อนไปเก็บตราปั๊มอุทยานอีก 1 ที่ นั่นก็คือ
อุทยานแห่งชาติ เขาลำปี-หาดท้ายเหมือง


เท่ากับมาพังงาครั้งนี้ผมได้ตราปั๊มประมาณ 4 อุทยาน
เพราะอุทยานสุดท้ายที่ผมจะไป
ก็คือ อุทยานแห่งชาติสิรีนาถ ที่อยู่ จังหวัดภูเก็ต


เอาล่ะต้องทำเวลาแล้วล่ะ
อุทยานหาดท้ายเหมือง เป็นอุทยานที่ติดทะเลเลย
มีความสวยงามมาก ขับกินลมชิวๆริมทะเลไปเรื่อย

หลังจากได้ตราปั๊มจากเจ้าหน้าที่ เราก็หันหัวรถกลับภูเก็ตเรย
อีกประมาณ 70 KM  กว่าจะมาถึงภูเก็ตก็ 5 โมงเย็นละ
ตอนแรกกะจะไป แหลมกระทิงต่อ
แต่ตอนนี้ร่างแหลกแล้วจร้า

เพราะถ้าไปแหลมกระทิงอีก ต้องขับไปอีก 40-50 KM
แล้วต้องขับกลับมาสนามบินอีก ซึ่งรับรองว่าตายแน่นอน

เมื่อผมมาถึงอุทยานแห่งชาติสิรีนาถ
ผมรอให้ 4 โมงเย็นก่อน เพื่อจะได้ไม่เสียตังเข้าด้านใน
เนื่องจาก พอเวลา 4 โมง อุทยานจะเปิด
เพื่อให้ชาวบ้านมาออกกำลังกาย

จากนั้นเมื่อผมได้ตราปั๊ม ก็ออกไปซื้อของกิน
ที่หน้าตลาดเอาเข้ามากินที่ริมทะเล

และพอพระอาทิตย์จะตก ผมก็เดินออกปเดินเล่นที่ริมชายหาด
มันเป็ความรู้สึกที่ฟินสุดๆ
คือ 2 วันนี้ เหนื่อยสุดๆ ขับมอไซ เกือบ 500 KM
แล้วผมก็ได้เรียนรู้ความสวยงาม
จากการนั่งดูพระอาทิตย์ตกในวันนี้นี่เอง









แถมยังมีสุนัขที่เข้ามานั่งเล่นเป็นเพื่อนอีกด้วย
พระอาทิตย์ตกทะเลที่ภูเก็ตแบบนี้ก็ดีไม่น้อยเรยนะ

เมื่อพระอาทิตย์ตกลงไปแล้ว
ก็ได้เวลาไปอาบน้ำ โดยในอุทยานมีห้องอาบน้ำ
แน่นอนว่าอาบฟรีจร้า  ฟินอีกละ





เมื่ออาบเสร็จ เราก็ไปหาคาเฟ่นั่ง เพื่อจะฆ่าเวลา
เพราะเราไม่ได้จองโรงแรมในคืนนี้ไว้
และมีไฟล์ทบินกลับ พรุ่งนี้ประมาณ 6 โมงเช้า
ก็เลยไม่ได้จองโรงแรม งกไปอีก 555






เอาล่ะ ไปนั่งร้านกาแฟ นั่งเล่นโทศัพไปเรื่อย
จนเที่ยงคืนร้านปิด เราก็ต้องเอารถไปคืน
แล้วก็เดินกลับสนามบิน

เพื่อไปนอนในสนามบิน  แต่ก็นอนไม่หลับหรอก
เพราะมันหนาวมาก
หนาวเหี้ยๆ พยายามข่มตานอนให้หลับ แต่แสงก็สว่างชิบหาย
ซักประมาณ ตี 4 ก็ไปเช็คอิน
โหลดกระเป๋า









แล้วก็รอขึ้นเครื่อง โดยที่เมื่อถึง กทม.
ผมต้องรีบขับรถไปทำงานต่อ
โดยที่ยังไม่ได้นอน อึดสัสๆ

แต่เช้าในวันนี้บนเครื่องบินของผม
มันช่างสดใสเหลือเกิน เพราะมันเป็นครั้งแรก
ที่ผมได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเครื่องบิน
ซึ่่งมันเป็นภาพที่สวยงามมาก และผมยังจดจำภาพนั้น
ได้จนถึงทุกวันนี้  

Popular Posts

Facebook