ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ทริปกระบี่ กับตั๋วไป-กลับ 150 บาท (Air Asia)


บันทึกการเดินทาง 

ณ วันที่  19-22.02.20

จ.กระบี่



กลับมาอีกครั้งกับการเดินทางครั้งใหม่ ที่บอกได้เลยว่า
ตั๋วในการเดินทางครั้งนี้ ยังถูกกว่าค่าแท็กซี่ ไปสนามบินซะอีก

เราเริ่มต้นจองตั๋วข้ามปีกันมาเลย 
โดยได้ราคาขาไป 50 บาท และราคาขากลับ 100 บาท
รวมกันเป็น 150 บาท ซึ่งรวมภาษีแล้วนะ

เมื่อได้ตั๋วมาเรียบร้อย ที่เหลือก็แค่รอเดินทาง
จากนั้น เมื่อถึงวันเดินทาง

วันที่ 19 กำหนดการเดินทางคือ 22.30  
ทริปนี้ดูไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ กระเป๋าก็กลับมาจัดตอนเย็น
ตอนประมาณ 6 โมงเย็น และจองโปรแกรมทัวร์ที่กระบี่ไว้

โดยแผนเราคือ วันที่ 20 เราจะไปพายเรือที่อ่าวท่าเลน
เป็นทัวร์ ครึ่งวัน ซึ่งได้ราคามาถูกมาก 350 บาทเท่านั้น

ซึ่งถ้าใครเคยไปพายจะรู้ว่าขั้นต่ำ ของทัวร์นี้จะอยู่ที่ 600 บาท
แต่เราได้มาในราคาที่ถูกที่สุดเลยก็ว่าได้ 
จากนั้นวันที่ 21 เรามีแผน จะไปเที่ยวเกาะที่สวยที่สุด
ไม่ใช่พีพี ไม่ใช่เกาะห้อง

แต่เป็นเกาะรอก และเกาะห้า ซึ่งก็ได้มาในราคาแสนถูกคือ 1850 
ซึ่งออกเดินทางจากกระบี่  ซึ่งไกลมาก ถ้าจะให้ถูกกว่านี้ ควรจะไปขึ้นเกาะลันตา
แต่เราอยู่กระบี่ ก็เลยยอมเสียเพิ่ม 

หมดละโปรแกรม 2 วันที่กระบี่

โอเคร เราไปเริ่มต้นเดินทางกันเลย 
ผมมาถึงสนามบิน ประมาณ 3 ทุ่ม ของวันที่ 19 
ซึ่งผมทำการเช็คอินออนไลน์ มาเรียบร้อยแล้ว
เหลือแค่ปริ๊นบอร์ดดิ้ง พาส แค่นั้น 



ช่วงนี้ไวรัส โควิด 19  กะลังระบาด 
ทำให้ร้านค้าในสนามบิน หรือผู้คนในสนามบิน 
หายไปมากกว่าครึ่ง คือ แทบไม่มีผู้โดยสารเลยก็ว่าได้






พอถึงเวลา เราก็ขึ้นเครื่อง โดยสายการบินแอร์เอเชีย
ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชม. เราก็มาถึงสนามบินกระบี่




เมื่อเราออกจากสนามบิน เราก็ไปซื้อตั๋วรถตู้เพื่อเข้าเมือง
จริงๆ จะมี ชัตเติ้ลบัสนะ แต่เรามาถึงในช่วงเวลา เที่ยงคืนละ
ก็เหลือแต่ รถตู้เนี่ยแหละ  

ก็เลยโดนขายตั๋วให้ในราคา 150 บาท แต่ก็ทำใจไว้แล้วแหละ
ชัตเติ้ลบัส ก็ 90 บาท ก็เลย ช่างมันเถอะ มาครั้งก่อน เกือบโดน 200บาท



ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 20 นาที 
เราก็มาถึง หน้าโรงแรม 

โดยเราจองโรงแรม อมิตี้ โพชเทลไว้ 
คือเป็นโรงแรมประจำเลยก็ว่าได้ 
มา 3 ครั้งก็มาพักที่นี่ทุกครั้ง 



เพราะราคาถูก  ที่นอนดี แอร์เย็น แค่นี้ก็พอละ
มัดจำกุญแจ 200 บาท แล้วเอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง
เราจองมาในราคา คืนละ 180 บาท

ผมจองไว้ทั้งหมด 3 คืน และพรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้า
เอาล่ะ เมื่อผมเดินเข้าห้องไป เพื่อนในห้องของผม
ได้นอนหลับกันหมดละ แต่ที่สงสัยคือ
ทำไมในห้องถึงไม่ยอมเปิดแอร์

ตอนแรกจะลองเดินกลับไปตามพนักงาน
แต่เหลือบไปเห็น รีโมตแอร์วางอยูู่  จึงหยิบมาเปิด 
อ้าว ก็เปิดได้นี่หว่า  จากนั้นผมก็ออกไปอาบน้ำ 

แล้วกลับเข้ามานอน ปรากฏว่าฝรั่งลุกขึ้้นมาปิดแอร์
คือ เหี้ยม่ะ คือจองห้องแอร์ไว้ กุก็ควรจะได้นอนห้องแอร์
ถ้าคุณไม่อยากนอนห้องแอร์ แล้วจะมาเลือกห้องแอร์เพื่อ

แต่ตอนนั้น ตี 1 ละ ก็เรยช่างแม่งละกัน
ก็หลับๆตื่นๆ ฝรั่งอีกเตียงก็ลุกขึ้นมาเปิดแอร์อีก 
แล้วมันก็ปิดอีก  เอ้อ มึนดีจัง 
แต่ตอนเช้าที่ตื่นมา แอร์เปิดอยู่ คือเปิดๆ ปิดๆ
คนนึงเปิด คนนึงปิด ทั้งคืน



20.02.20

วันนี้เลขสวย  ตื่นขึ้นมา รีบไปอาบน้ำ แล้วลงไปกินข้าว
รอทัวร์มารับที่โรงแรม

เดินมาไม่ไกล ข้างหน้าจะมีร้านโจ๊ก สายไหม เป็นร้านขายติ่มซำ
โจ๊ก อาหารเช้าประมาณนี้ คนค่อนข้างเยอะ


ผมเดินไปสั่ง โจ๊กซี่โครงหมู แล้วก็ปาท่องโก๋ 2 ตัว
ราคา 68 บาท ทั้งหมด 



รสชาติอร่อยมากเลย แนะนำครับ มากินหลายครั้งแล้วร้านนี้
แนะนำซี่โครง คือมันละลายในปากจริงๆ
ไม่เชื่อต้องมาลอง 

จากนั้นจ่ายเงิน เดินกลับไปที่โรงแรม ยังไม่ทันจะได้นั่ง
ทัวร์ก็เดินมาเรียกพอดี 
พี่ ใช่ ที่จองคายัคไว้มั๊ยครับ เสียงทัวร์ตอนมาเรียก

เราก็ เอ่อๆ ใช่ครับ ก็เลยเก็บของไปนั่งหน้ารถกะพี่แก
แกมารับเราคนแรก และมีคนเดียวด้วยที่พักในเมือง
นอกนั้นเค้าพักอ่าวนางกันหมด


พี่แกก็ไล่ไปรับคนทั่วอ่าวนาง 
และไปถึงจุดพายคายัคประมาณ 9.30
และที่เซอไพรส์ คือ ไม่มีคนไทยเลย
ต่างชาติล้วนๆ 





และเป็น ผู้หญิงเกือบทั้งหมด  
ทำให้เราได้จับคู่กับ หญิงสาวฝรั่งชาว เยอรมัน
ซึ่งเค้ามาเที่ยวคนเดียว เหมือนกัน
เมื่อลงเรือคายัค สาวเยอรมันบอกว่า นี่เป็นครั้งแรก
ในการพายคายัค เค้าพายไม่เป็น เราก็เลยสอนแบบเบสิคให้
เพราะมันไม่ได้ยาก ของแบบนี้ต้องเรียนรู้เอง ลงมือเอง



ไม่ถึง 5 นาที เค้าก็เหมือนจับจุดได้ และพายเป็นในที่สุด 
เราพายกันข้ามไปอีกฝั่ง และพายวนไปรอบๆ เขาหินปูน





ก่อนที่จะพายเข้าไปในเวิ้งน้ำ คือมันสวยมากนะ
ถ้าเทียบกับที่เคยพายมา มันเป็นการพายออกทะเล
และพายเข้าไปในป่า หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า แคนยอน










คือ ธรรมชาติมากๆ พอพายเข้าไปลึกหน่อย จะเป็นเลน เป็นชายเลน
ก็มีลิง แล้วก็ตัวตะกวดด้วย 
ถือว่าธรรมชาติยังสมบูรณ์อยู่   คือ ไม่ว่าจะถ่ายมากี่รูป
ก็จะติดฝรั่งคนนี้เสมอ เพราะเรานั่งด้านหลัง
เค้านั่งด้านหน้า คือถ่ายวิวด้านหน้ายังไงก็ติด
จะถ่ายด้านหลังก็เอี้ยวตัวลำบาก

ก็เลยถ่ายๆไป รูปที่ถ่ายมาคือวิวเปลี่ยนไป แต่ติดฝรั่งทุกรูป 55+



พายไปตามทางเรื่อยๆ โคตรไกล
ประมาณ 8 กิโลได้ พายจนมือถลอกอ่ะ คิดดู
ใช้เวลาในการพายประมาณ 2 ชม.




ก็กลับมาที่เดิม แต่ไม่ได้พายไปกลับนะ พายไปเป็นวงกลม  
แล้วจะมีจุดพัก เป็นเนินทราย ให้เราได้ไปจอดคายัค 
แล้วก็ลงไปว่ายน้ำได้ เล่นน้ำได้



เมื่อกลับถึงฝั่ง  ก็เอารูปที่ถ่ายให้กันมาส่งในไอจี
ของกันและกัน ก็คุยเล่นกันบ้าง  แล้วผมก็เดินไปซื้อ
ไอติมกะทิ  แล้วก็ใส่ข้าวเหนียวมูลไว้ด้วย



เอามาใหฝรั่งกิน ฝรั่งบอกอร่อยมาก เค้าบอกว่ามะพร้าวบ้านเค้า
ราคาแพง ลูกละ 135 บาท แต่ที่นี่ถูก ลูกละ 50 บาท
และดูเหมือนเค้าจะตกใจมาก เมื่อเห็นข้าวอยู่ใน ไอติม

เราบอกว่า amazing thailand เค้าก็ทำหน้าเห็นด้วย
จากนั้น พี่เค้าก็เดินมาเรียกขึ้นรถ ตอนนั้นเวลาประมาณ 12.00ละ
กว่าจะถึง โรงแรม ก็ประมาณ บ่ายโมงกว่า 


พอถึงโรงแรมปุ๊ป ก็เลยเดินไปกินข้าว 
ไปกินก๋วยเตี๋ยว ราคา 50 บาท  แล้วเดินต่อไปอีกนิด เพื่อเข้าไปยัง
พิพิธภัณฑ์

































พิพิธภัณฑ์ อันดามัน มีพิพิธภัณฑ์ลูกปัด
แล้วก็มีหอศิลป์ อยู่ด้วยกัน  เข้าฟรีครับ
ถ้าใครมาแล้วก็ควร ลองเข้ามาเที่ยวดูซักครั้ง






ใช้เวลานานพอสมควร  ก่อนจะกลับโรงแรม ตอน 4 โมงเย็น 
แล้วไปอาบน้ำ มานอนต่อที่ห้อง เปิดแอร์เย็นฉ่ำเลยทีนี้
แล้วก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโทรศัพท์
ปลายสาย คือ ทัวร์ ที่พรุ่งนี้เราจะไปเกาะ 
โทรมาแจ้งว่า พรุ่งนี้อุทยานประกาศคลื่นลมแรง
ออกเรือไม่ได้ เลยคืนเงินเต็มจำนวนให้เรามา

ทำให้แผนในวันพรุ่งนี้เราค่อนข้างเคว้งเรยทีเดียว
เลยคิดว่าพรุ่งนี้ น่าจะไปชุมชนบ้านเกาะกลาง










แล้วก็เลยลุกเดินไปวัด แก้วที่อยู่บริเวณแถวนั้น
แต่ว่าวัดก็กำลังซ่อมแซมอีก ไม่รู้จะไปไหน เดินไปหาก๋วยเตี๋ยวกินละกัน
ไปกินก๋วยเตี๋ยวอีก 50 บาท แล้วก็เดินไปถนนคนเดิน ตรงลานปูดำ
แถวนั้นมีตลาดทุกวัน 





แล้วก็เลยไปแวะนั่งจิบเบียร์ อีก 1 ขวด ตรงร้านปูไข่ 
ซึ่งวันนั้น มีฮาร์เล่ มาจอดเพียบ 
แล้วก็มีดนตรีสด แบบฉบับ ฮิปปี้ขึ้นมาเล่น
ก็สนุกไปอีกแบบ ใช้ชีวิต จนถึงเวลา 2 ทุ่ม



เลยเดินไปร้านซูชิ สั่งเนื้อย่างมากิน 
แล้วก็เบียร์สิงห์อีก 1 ขวด จ่ายไป 120 บาท
เพราะเบียร์สดอาซาฮี หมด 

พอเข้าไปนั่งในร้านแล้ว คิดถึงทริปญี่ปุ่นที่เพิ่งไปมาเมื่อตอนต้นเดือนเลยอ่ะ
ที่ขาดคือเบียร์อาซาฮี  เช็คบิลมาก็ราคาประมาณ 160 บาท


แล้วก็ออกมา กินโรตี ร้านดังของกระบี่
เป็นโรตีไข่ อีก 35 บาท

แล้วก็กลับเข้าโรงแรม  ประมาณ 4 ทุ่ม พอกลับเข้าไป
ก็เจอฝรั่งที่ปิดแอร์นั่นแหละ แต่คนอื่นเช็คเอาท์ออกหมดเลย
เหลือแค่ผม กับฝรั่งคนใหม่ แล้วก็ไอ้ฝรั่งที่ปิดแอร์ 

ตอนที่ผมเข้าไปแอร์ยังเปิดอยู่ แล้วจู่ๆ มันก็เดินมาปิดแอร์จริงๆ
ตอนนั้น เราเลยเดินลงมาบอกพนักงานว่าขอเปลี่ยนห้อง เปลี่ยนเตียง
เล่าเรื่องราวให้เค้าฟัง  


เค้าบอกว่าเตียงเต็มหมดแล้ว

เหลือแต่ห้องส่วนตัว เค้าก็เลยเอากุญแจมาให้ 
แล้วให้เราย้ายไปนอนห้องส่วนตัว 
แต่เฉพาะคืนนี้เท่านั้นนะ เพราะพรุ่งนี้ไอ้ฝรั่งนั้นก็เช็คเอาท์ออกไปละ

เราก็เลยสบายไป เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำไปเรย 
ห้องน้ำก็ได้ ส่วนตัว มีเตียงแอร์ ทีวี ส่วนตัว


21.02.20

เช้าวันรุ่งขึ้น กว่าจะลุกออกจากห้องได้
ก็ 11 โมงนั่นแหละ  แต่ที่เสียดายคือ เราไม่ได้ออกไปเกาะ
ไปดำน้ำ อุตส่าเอาหน้ากากมา 



ก็เลยเดินไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ด40 บาท แต่ร้านนี้ทำอร่อยมาก
  แล้วเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายย 


แวะซื้อชาเขียวแฟมิลีมาร์ท พร้อมถามเค้าว่า ถ้าจะไปชุมชนบ้านเกาะกลาง
ขึ้นเรือแถวไหน พี่เค้าบอกว่าขึ้นตรงนี้แหละ


แต่พอไปถึง ก็ไม่เห็นมีใคร น่าจะมีแต่เรือเหมา
ซึ่งเราจ่ายไม่ไหว เราก็เลยลองเดินไปท่าเรือ 
ไกลเหมือนกัน เป็นท่าเรือธารา เริ่มเจอคนเรือ เค้าบอกว่า
ไม่มีแชร์นะน้อง เหมาไป ก็ 500 บาท ประมาณ ชั่วโมงครึ่ง







พาทัวร์รอบชุมชน รอบเกาะ 
เราก็เลยปฏิเสธไป เลยลองไปถามเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสถานีดู
เค้าบอกว่าให้เดินไปอีก ค่าเรือ 10-20 บาท ค่าข้ามไปเกาะน่ะ


เดินมาไกลจนถึงสวนสาธารณะ ก็ยังไม่เจอ ก็เลยคิดว่าไม่ไปละ 
เดินกลับโรงแรมแม่งเลย ก็กลับไปนอนเล่นที่ห้อง 



อาบน้ำ แล้วก็มานอนเล่นโทสับ ก่อนจะออกไปเดินเล่นตอนเย็น
ตอนประมาณ 5 โมงเย็น ไปเดินเล่นแถว ลานปูดำ
แล้วกลับมากินขนมจีนเจ้าเด็ด ราคาแค่ 40 บาท
พร้อมไก่ทอด ด้วยนะ





เดินวนหลายรอบมาก  เรียกได้ว่าตั้งแต่มากระบี่เดินวน เป็น 10 รอบได้ 
เลยเดินมาที่ถนนคนเดินกระบี่ นั่งจิบเบียร์อีก 2 ขวด 





แล้วก็นั่งเล่นดูดนตรีไป ชิลๆ ดูเสร็จก็ได้เวลา
ออกไปหาอะไรกิน ก็เลยเดินกลับไปร้านอาหารญี่ปุ่น
ก็ยังไม่มีเบียร์อาซาฮีอีก เลยสั่งเกี๊ยวซ่ากับข้าวหน้าเนื้อมากิน 








จ่ายไปอีก 185 บาท แล้วก็เดินเล่นอีกนิดหน่อย ก่อนจะตบท้ายด้วยโรตีกรอบ เจ้าเดิม

แล้วเดินต่อไปยังร้านฮิปปี้ร้านนึง ซึ่งเห็นตั้งแต่กลางวันละ
กลางคืนน่าจะคึกคักเลยเดินไปดูซะหน่อย
แต่ก็ไม่ได้แวะนั่งหรอก  แค่ไปดูบรรยากาศ


แล้วก็เดินกลับห้อง แต่คราวนี้แอร์ไม่ได้ปิดแล้วจร้า 
เย้ ดีใจๆ 555+   จากนั้นก็นอนหลับไป

22.02.20


ตื่นเช้ามา เก็บของ อาบน้ำ เช็คเอาท์
รับมัดจำคืน แล้วก็เดินไปกินข้าวหน้าเป็ดร้านเดิม กับร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเมื่อวาน





แต่บอกเลยว่า ข้าวหน้าเป็ดนี่เด็ดจริง 
โคตรอร่อย แค่เห็นก็รู้เรยว่าน่าจะอร่อยแน่ๆ
พอกินไปคำแรก หือ อร่อยจริง

ถ้าใครอยู่ตัวเมืองกระบี่แนะนำร้านนี้เลยนะ  คนเข้าตลอด
อยู่ตรงบริเวณถนนคนเดิน ลานปูดำ นั่นแหละ
แต่เดินเข้าซอยมาหน่อย

ราคาก็แค่ 40 บาทเอง  กินเสร็จก็คงได้เวลากลับแล้วสินะ
ก็เดินกลับไป ตรงลานปูดำ แลล้วรอเรียกรถสองแถว สีฟ้า ที่จะผ่านสนามบิน
ราคาก็ 50 บาท ซึ่งนี่คือราคาปกติ  

เคยมาแล้วโดนชาร์จ 150 เราบอกว่าเคยขึ้น 50 บาทเอง
อย่าไปโดนหลอกนะน้องๆ 

จากตัวเมืองกระบี่ไปสนามบิน ถ้าเป็นรถโดยสาร ก็ราคา 50 บาท มาตรฐาน
ระยะทางก็ไกลอยู่เป็น 10 กิโลได้



มาถึงสนามบิน ประมาณเที่ยง แล้วก็เช็คอิน รอขึ้นเครื่อง 13.35 
ก็เป็นอันจบทริปกระบี่แบบสมบูรณ์

ถึงแม้ว่าที่กระบี่ จะไม่ใช่การเดินทางที่แปลกใหม่สำหรับผม
แต่ทุกครั้งทีเดินทาง มันทำให้เราได้เห็นมุมมองที่แตกต่างออกไป
ในแต่ละครั้งซึ่งมันก็ไม่เหมือนกัน อย่างแน่นอน

จำได้ว่ามาครั้งที่แล้วไปถึงอ่าวนาง พี่เค้าพาไปเมาอยู่ที่อ่าวนาง
ชีวิตโคตรสนุกเลย 

อย่าปล่อยให้เวลาในชีวิตผ่านไปนะทุกคน 
ใช้ชีวิตให้มีความสุข แค่นั้นพอละ

แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าครับผม




Popular Posts

Facebook