ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Greenland ดินแดนลึกลับหลังเขื่อนขุนด่าน



บันทึกการเดินทาง ณ วันที่ 07.07.19

วันอาทิตย์ที่แสนสดใส  เช้านี้แผนการเดินทางของเราคือ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่สีเขียว อยู่หลังเขื่อนขุนด่านปราการชล และทุกปีเดือนกรกฏาคม จะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมากันที่นี่เยอะแยะมากมาย ซึ่งผมขอบอกว่า วันที่ผมไป ฝนไม่ตก แล้วแดดก็ไม่ออก แล้วหญ้าก็เป็นสีเขียวแล้ว คือทุกสิ่งทุกอย่างมันลงตัวมากในวันนั้น ซึ่งอาทิตย์ก่อนที่ผมจะมา มีทั้งฝนตกบ้าง แดดออกบ้าง แสงแดดจะเป็นตัวทำให้ดินแดนแห่งนี้มันไม่เขียวนั่นเอง มันจะเป็นสีทองแทนน่ะสิ เพราะฉะนั้นใครที่จะมา ดูพยากรณ์อากาศมาก่อนก็จะดีมาก

เอาล่ะ ได้เวลาการเดินทางละ

โดยเราเริ่มต้นออกจาก กทม. มาซึ่งถือว่าระยะทางไม่ไกลมาก ประมาณ 100 กม. ก็ถึงเขื่อนขุนด่าน โดยเราใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ 2 ชม.  โดยที่จอดรถค่อนข้างหนาแน่น เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ แนะนำให้มาแต่เช้า ถ้าไม่อยากเจอคนท่มหาศาล แต่ผมเองถือว่าออกสายอยู่นะ มาถึงนี่ก็เที่ยงละ





ก็เดินไปซื้อตั๋วเรือ คนละ 200 บาท จนกว่าเรือจะเต็มลำ หรือจะเช่าเหมาลำก็ได้ ลำละ 1500 บาท แต่ในวันที่ผมไป มีคน 6 คน เค้าเลยถาม ว่าคนละ 250 โอเคมั๊ย จะได้ไม่ต้องรออีก 2 คน  ก็เรยปรึกษาคนอื่นด้วย ทุกคนโอเค เราก็เลยโอเค จะได้ไม่ต้องรอ  แล้วเราก็ต้องเดินไปทางเขื่อนเพื่อเดินลงบันไดไปขึ้นเรือ ซึ่งจังหวะนี้แหละ ที่มันค่อนข้างลำบาก เพราะชัน แล้วก็บันไดที่มีขั้นประมาณ 300 ขั้น ก็ทำเอาหอบได้เหมือนกัน





พอไปถึงจุดขึ้นเรือ ก็จะมีเรือมารับให้ขึ้นลำที่เบอร์ตรงกับในตั๋วของเรา จากนั้นเรือหางยาวก็จะแล่นไปส่งเรายังดินแดนที่อยู่หลังเขื่อนแห่งนี้ ถ้าจะให้เล่าจริงจัง ตามแบบฉบับของผมก็คือ
ไอ้ดินแดนนี้มันจะโผล่ตอนที่น้ำในเขื่อนแห้งนั่นเอง และเมื่อบวกกับฤดูฝน ก็เลยทำให้ป่าแห่งนี้มันดูเขียวไปทั่วทั้งบริเวณ และเราจะเห็นบริเวณที่เป็นเหมือนขั้นบันไดดิน ที่ไม่มีต้นไม้ขึ้น นั่นก็แสดงว่า บริเวณนั้น เป็นที่ๆน้ำในเขื่อนสูงขึ้นไปถึง เมื่อน้ำเต็มเขื่อน แต่พอน้ำในเขื่อนแห้ง เราก็สามารถที่จะเดินเข้าไปดูธรรมชาติที่อยู่ด้านในได้  เอาล่ะ เมื่อมาถึง เรือก็จะจอดให้เราเดินเข้าไปด้านใน เวลาก็แล้วแต่ตกลง ส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 2 ชม. ก็น่าจะเดินถ่ายรูปได้ทั่วบริเวณแล้วล่ะ





พอเมื่อเราเดินมาถึงข้างใน มันก็เป็นเนินเขาขนาดใหญ่ เหมือนในรีวิวอื่นนๆจริงๆ คือมันก็ธรรมชาติอ่ะนะ ก็เหมาะสำหรับคนที่จะมาเพือถ่ายรูปธรรมชาติ ส่วนผมก็ขอเดินเข้าไปสำรวจถึงด้านในเรยดีกว่า




จริงๆจากขึ้นเรือ เดินเข้าไปยังด้านในสุด น่าจะเกือบๆ 1 กิโลเมตรได้ ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที ก็ถึง ด้านในจะเป็นน้ำตกช่องลม ที่ไหลผ่านมาเป็นลำธาร น้ำเย็นได้ใจจริงๆ แต่แนะนำให้เอาสเปร์ยกันแมลงมาด้วยก็ดี เพราะเมื่อเหงื่อเราออก แมลงทั้งหลายก็จะมาตามกลิ่นเรา รวมถึงยุงด้วยจร้า


ถ้าใครมีโอกาสมาก็มาเถอะ ซักครั้งในชีวิต มันไม่สามารถเห็นได้ทั้งปี แล้วก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเหลือพื้นที่แบบนนีให้เราได้เห็นอีกหรือเปล่า เมื่อเราถ่ายรูป ชมธรรมชาติกันพอสมควร ก็ได้เวลากลับจร้าเรานัดกันที่บ่าย 2 มาเจอกันที่เรือ เราไปถึงบ่าย2 5 นาที เรทไปอีก มาถึง คนอื่นก็มารออยู่ที่เรือแล้วจร้า




แต่พอจะหันหัวเรือกลับเท่านั้นแหละ ใบพัดเรือหลุดจร้า อ้าวตายห่าละ กลับยังไงล่ะทีนี้ คนขับเรือก็เลยเดินไปคุยกับคนขับเรืออีกลำ ให้เราไปขึ้นเรือลำนู้นแทน ก็เลยกลับเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัย แต่ลำที่เราขึนมาด้วย เป็นลำที่เค้าเหมาลำกันมา ตอนลงก็เรยมีปัญหากันนิดหน่อย ระหว่างคนขับเรือกับลูกค้าที่เค้าเหมากันมา ว่าทำไมฉันต้องจ่ายเต็มด้วย ในเมื่อขากลับมีคนอื่นขึ้นมาด้วย ประมาณนี้




แต่เราก็ไม่ได้อยู่ฟังอะไรหรอก ไม่ใช่เรื่องของเรา ปล่อยให้เค้าเคลียกันเอง  ส่วนเราไปหนักใจเรื่องที่จะขึ้นบันได อีก 300 ขั้นดีกว่า นี่แหละปัญหาของจริง ผมเดินทางที่เป็นขอบบันไดแม่งเรย เหมือนจะช่วยนะ แต่ก็เหนื่อยเหมือนเดิม ไม่มีไรเปลี่ยน


พอขึ้นมาถึง เดินไปซื้อน้ำเย็นๆมากิน แล้วนั่งพักสักแป๊ป ก็ได้เวลากลับ แต่ขากลับก็จะขอแวะบะหมี่โหน่งซะหน่อย ยังไงก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว ไม่ไกลกันมาก ประมาณ 20 กิโล พอมาถึงสั่งข้าวหมูแดง กับบะหมี่น้ำ เออ อร่อยดีว่ะ ไม่รุว่าเป็นน้ำซุปต้มกระดูกหมาจริงอย่างที่เค้าล้อกันรึเปล่า 555


หลังจากอิ่มท้อง ก็ได้เวลาเดินทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปใช้ชีวิตกันต่อ และนี่ก็คือการเดินทางแบบ one day trip ไปเช้า เย็นกลับ 555  ไว้คราวหน้าเราจะไปที่ไหนกันต่อ เด่วไปติดตามกัน
ค่าใช้จ่ายวันนี้ไม่เกินคนละ 500  บาทจร้า  มีเงิน มีเวลา ก็ออกไปใช้ชีวิตกันบ้างนะ


Popular Posts

Facebook