ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ซาปา นาขั้นบันไดขึ้นชื่อของโลก EP.2


21.10.19





ข้างนอกรถคือเย็นมาก หนาวเหี้ยๆ คนละเรื่องกะในรถเลย ในรถอย่างอุ่น จากนั้นเราเข้าห้องน้ำเสร็จ เรากลับมาเอากระเป๋าที่รถ






 แล้วเดินหาเช่ารถมอไซค์ ซึ่งส่วนใหญ่ ไม่มีร้านไหนเปิดเลย เราเดินไปเรื่อยๆจนไปเจอร้านที่เค้าเปิด แต่พูดอังกฤษไม่ได้ แต่ก็คุยรุเรื่องบ้างไม่รุเรื่องบ้าง แต่แกก็พยายามเต็มที่นะ



จนเราได้รถเช่ามาในราคา วันละ 120000 ดอง เราเช่า 2 วัน ก็บอกเขา ให้พาสปอร์ตไป 1 เล่ม แค่นั้น ไม่ต้องมีเซ็นสัญญญาอะไรเลย 5555+  จากนั้นเราก็ขับไปที่พักที่เราจองมา คือ Rosie house จองในราคา 2 คืน 150 บาท เชี่ยอย่างถูกก   เป็นโฮมสเตย์ด้วย คือนอนบ้านเดียวกันกะเจ้าของบ้าน พอมาถึง ก็เห็นเจ้าของบ้าน ก็ทักทายกัน อัธยาาศัยดีมาก





หลังจากนั้นก็ให้เราเข้าห้องพักได้เลย คือหนาวมากตอนนั้น เราเลยอาบน้ำตอนเช้าที่นี่เลย ห้องน้ำดีมาก แถมห้องก็ดีน่ารัก  มีมุมระเบียงบ้านด้วย แถมมีกีตาร์ที่คนญี่ปุ่นให้ไว้ตั้งไว้กลางบ้าน ใครอยากเล่นก็มาเอาไปเล่น  เราคือคนไทยคนแรกที่เข้ามาพักที่นี่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีคนไทยมาพักเลย เราเป็นคนแรก

จากนั้นเมื่อเราอาบน้ำเสร็จ ก็ได้เวลาออกไปกินข้าว และออกไปตามหานาขั้นบันไดกัน พอออกมากลับเข้าตัวเมือง หาร้านกินไม่ได้ ก็ต้องเลือกเอาซักร้าน ไปสั่งข้าวผัดเวียดนามกิน อร่อยนะ แต่เค้าใช้เนยแทนน้ำมัน ทำให้กลิ่นเต็มไปด้วยเนย ซึ่งมันก็แปลกๆ สำหรับบ้านเรา มื้อนี้ จ่ายไป 40000 ดอง









กินข้าวเสร็จแล้ว ก็ไปเที่ยวกันต่่อ โดยเราจะไปกันที่ TA VAN VILLAGE เสียค่าเข้าอีก คนละ 60000 ดอง  แต่ทางนี่สิ ไม่ดีเอาซะเลย แต่ระหว่างทางวิวก็ดีอยู่ พอเราได้เห็นนาขั้นบันได เออว่ะ มันยิ่งใหญ่จริง แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ เรามาผิดช่วง คือเค้าเกี่ยวข้าวไปแล้ว  ไหนใครบอกให้มาตุลาไง  ที่นี่จะทำนาเร็วกว่าบ้านเราประมาณ 1-2 เดือน ทางที่ดีมาสิงหาจะชัวร์สุด 



ข้างในหมู่บ้านก็ไม่มีอะไรให้ดูมาก ส่วนใหญ่เขาจะจ้างม้งพาเดินเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ  แต่เราขับมอไซต์เที่ยว 5555 ลืมพูดเรื่องเปลี่ยนรถไปเรย   เนื่องจากยางแบนก็เลยขับกลับไปร้านเดิมไปขอเปลี่ยนรถ ที่แรงกว่านี้ก็ได้มาคันนึง มีกระจกข้างเดียว นี่แหละเวียดนามสไตล์ จากนั้นเราบอกว่าเราเติมน้ำมันใส่คันเดิมไปแล้ว แกก็ดูดกลับมาให้อีกคัน แถมเอาไปเติมลมให้อีก เออ ใจดีจริง 

คราวนี้ไม่รุจะไปเที่ยวไหนต่อ เลยซื้อเบียร์แล้วก็กลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน ไปนั่งกินเบียร์เล่นกีตาร์เพลินๆ จนถึงเย็น พอออกจากบ้านมา คือหมอกเต็มไปหมด ไม่มีพระอาทิตย์แล้ว








 เราก็ขับกลับเข้าไปในตัวเมืองอีกรอบ ไปแวะนั่งเล่นตรงลานกว้าง ก่อนจะเดินเล่น นู่น นี่ นั่น พอเริ่มดึกหน่อย ก็ไปเดินถนนคนเดิน ไปหาของกิน ได้บาร์บีคิว กับ พิซซ่ามากิน เออ อร่อยมาก ผิดคาดแฮะ










กินเสร็จก็ขับกลับที่พัก แต่มันโคตรหนาว  หนาวมาก ดีนะที่บ้านพักห่างกันแค่ 2-3 กิโลแค่นั้น ถ้ามากกว่านั้นมีตาย  สุดท้ายวันนี้ก็ผ่านไปอีกวัน  เป็นอีกวันที่ให้ความรู้สึกดีๆกับเรา ในสถานที่แปลกใหม่ เชื่อว่าพรุ่งนี้อาจจะมีเรื่องราวดีๆ รอเราอยู่

22.10.19


   เช้าวันนี้ เราตื่นเช้ามา ในหัวคือโล่งมาก ไม่มีแพลนอะไรมากนัก แพลนหลวมมาก มานั่งคิดอีกที ก็ดีนะไม่กดดันตัวเองดี แถมสบายใจด้วย คิดได้กระนั้นผมก็ไปหยิบกีตาร์มานั่งเล่นหน้าบ้าน คือชิลมาก อากาศเย็นๆ เล่นกีตาร์ไปด้วย มองดูผู้คนกะลังเอาหญ้าไปให้วัวกิน เออ สบายใจดี   หลังจากที่เอากีตาร์ไปวาง ก็มีฝรั่งห้องข้างๆ เอากีตาาร์ไปเล่นต่อ เออ เพราะดี  เล่นนกันทีได้ยินทั้งบ้าน


บ้านพักที่นี่ มีเจ้าของชื่อรูซี่ มีห้องพักแค่ 3 หลัง ส่วนใหญ่เต็มทุกวัน ผมคิดว่าที่คนมาพักไม่ใช่เพราะราคาถูกอย่างเดียว แต่เป็นเพราะที่นี่ มีคะแนนรีวิว สูงมาก สูงกว่าโรงแรมแพงๆซะอีก ซึ่งมันน่าแปลกที่ คะแนนดี แต่ทำไมราคายังถูก  วันนี้ผมเข้าใจแล้ว ว่าทำไมคะแนนรีวิว ถึงสูงขนาดนั้น เกิน 9.2 คะแนน นี่ก็หายากละนะ ที่นี่คะแนน สูงถึง9.5  




หลังจากอาบน้ำแต่วตัวเรียบร้อยก็ได้เวลา  ออกไปผจญภัยโลกกว้างอีกครั้ง  โดยเช้านี้ขอไปนั่งร้านกาแฟ ที่SAPA CAFE ซึงวิวดีมาก  เราเข้าไปสั่งเฝอมากิน แล้วก็ชาเวียดนามอีกถ้วย มื้อนี้ราคา 120000 ดอง  เทียบกับวิว ไม่แพงเลย บรรยากาศดี แถมเบียร์ถูก ตกขวดละ 20000 ดองเท่านั้น กะว่าเย็นนี้จะมานั่งดูวิวที่นี่






 แต่ตอนนี้เราต้องหาที่ไปซักที่ โดยเราจะไปกันที่หมู่บ้าน CAT CAT













ขับมาไม่ไกล จากcafe มากนัก ก็ถึง โดยเสียค่าเข้า คนละ 70000 ดอง จอดรถฟรี  แล้วก็มีแผนที่ให้ เดินเที่ยว  เหมาะสำหรับการเดินทั้งวัน ควรมีเวลาทั้งวันจะซึมซับบรรยากาศได้ดีที่สุด ไม่เร่งรีบเกินไป เราก็เดินไปแทบทุกจุดที่มีในแผนที่ ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงละ







โดยเราแวะดูการแสดงโชว์ กันประมาณ ครึ่งชั่วโมง เหมือนได้นั่งพักไปในตัว ระหว่างทางงก็จะมีของขายตลอดทาง  ซึ่งเราได้แวะซื้อ กล้วยทอด แล้วก็มะพร้าวมากิน โดยกินทั้งเนื้อและน้ำ 555







กว่าเราจะเดินเที่ยวจนครบ ออกมาข้างนอกเวลาก็ปาเข้าไป 4 โมงเย็นละ สิ่งที่เราจะทำต่อไปคือ ขับไปร้านเช้ารถ เพื่อแจ้งเขาว่า พรุ่งนี้เราจะเอารถมาคืนตอน 6 โมงเช้านะ เพราะฉันมีขึ้นรถกลับฮานอยตอน 7 โมง  ก็ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ใช้กูเกิ้ลแปลเอา 555  จากนั้นเค้าบอกว่า ขอเพิ่ม 50000 เนื่องจากเราเช่าเกิน 2 วัน เราก็โอเคนะ ดีกว่าเรียกแท็กซี่ อาจจะแพงกว่านี้ เพราะถ้าคืนรถวันนี้ ก้จะไม่มีรถกลับที่พักด้วย  แต่ก็ย้ำกับเขาว่า 6 โมงเช้าจริงๆนะ

หลังจากนั้น เราก็ขับไปถ่ายรูป ตรงทะเลสาปกลางซาปา ไปนั่งเล่นแถวนั้นจนแดดหมด แถมซื้อเบียร์มานั่งกินอีก 2 กระป๋อง  นั่งชมวิวทะเลสาปไป เออ ฟินดี








  แล้วก็ขับรถไปถ่ายรูปต่อที่ลานกิจกรรมกลางเมือง ไปถ่ายรูปโบสถ์ต่ออีก ก่อนจะรีบไปดูวิวที่ ร้านอาหาร ฟานสิปัน คาเฟ่









ตอนมาถึงแสงกำลังจะหมด แต่ยังพอถ่ายรูปได้ วิวดีมาก เลยสั่งอาหารมา โดยสั่งเบียร์โลคอลไป แล้วก็เฟรนฟราย เฝออีก 1 ถ้วย  ซักพักก็เอา เทียนมาตั้งให้ โคตรแจ่ม







 ช่วงนี้ต้องรีบถ่ายรูปก่อนแสงจะหมดไปซะก่อน  เอาล่ะ พอแสงหมด หมอกก็เริ่มเขามาแทนที่  คือเมื่อไหร่ที่ไม่มีแสง เมื่อนั้นจะมีหมอก แล้วก็หนาวมากๆ  

เราดื่มด่ำบรรยากาศที่นี่เป็นวันสุดท้าย ก่อนจะกลับฮานอยในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่ดื่มด่ำบรรยากาศพอสมควร ก็ได้เวลากลับที่พัก เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อไปขึ้นรถกลับฮานอย



23.10.19


    เช้าวันสุดท้ายที่เวียดนาม  เราตืนกันตั้งแต่ตี 5 แล้วก็อาบน้ำ เก็บของ โดยที่คนในบ้านยังไม่มีใครตื่น เราไม่รู้จะร่ำลากันยังไง เลยเขียนจดหมาย ทิ้งไว้ พร้อมของที่ระลึก นั่นคือร่มอันเล็ก เอาไว้ให้ 1 อัน เผื่อให้คนอื่นใช้ต่อ เหมือนชาวญี่ปุ่นที่ทิ้งกีตาร์ไว้ให้คนอื่นเล่นต่อ ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ



จากนั้น ตี 5.50 เราออกไปที่ร้านเพื่อคืนรถ  ตอนนั้น 6 โมงตรงแล้ว ทำไมยังไม่มีใครออกมาอีก ใจเริ่มหวั่นๆละ ทำไงดี คิดยังไม่ทันจบ เจ้าของร้านก็เดินออกมาเปิดประตู 555+ ตรงเวลามาก คือเหมือนเพิ่งตื่นแล้วก็ลุกมาเลย



คืนรถเสร็จ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แล้วก็เดินไปที่ท่ารถที่เราลงมาวันนั้น จน 6 โมงครึ่งแล้ว ทำไมไม่มีใครมารอรถเรย เริ่มตะหงิดใจละ เรยเปิดจีพีเอสดู ตายห่า !!  คนละที่กัน ต้องวิ่งไปเรียกแท็กซี่เพื่อให้ไปส่ง ยังร้านขายตั๋ว แต่สุดท้ายก็มาทัน โดนค่าแท็กซี่ไปอีก 30000 ดอง  ทั้งๆที่อยู่ห่างประมาณ 1 กม.



แต่รถรอบเช้าที่เราขึ้น เป็นรถ VIP ราคา 5ร้อยกว่าบาท นั่งสบายมากใช้เวลาประมาณ 5 ชม. ก่อนจะถึงฮานอย มีแวะให้กินข้าว เข้าห้องน้ำระหว่างทาง



 ก็จัดเฝอเส้นมาม่าไปอีกถ้วย อร่อยมากกก ราคา 40000 ดอง



เรามาถึงฮานอยกันประมาณ เที่ยง ก็ได้ลงเดินไปที่ร้านกาแฟไข่ชื่อดังของเวียดนาม เป็นซอกเล็กๆ เดินเข้าไป แต่คนเต็มร้านแม่เจ้า  สั่งกาแฟมากิน แล้วก็นั่งชาร์จแบตไปด้วย นั่งไปประมาณ 1 ชั่วโมง






 ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมหมวกแดง อยู่บนรถ ก็เลยเดินกลับไปที่ จุดขายตั๋ว บอกเค้าว่า ลืมหมวกไว้บนรถทำไงดี  เขาบอกให้เรารอ บ่าย 2 .45 จะมีรถคันเดิมมา ให้เราขึ้นไปหาบนรถเอง  

เราก็รอ จนรถมาถึงพอขึ้นไปหาบนรถ ไม่มี คนขับก็คนเดิม แล้วก็พนักงานก็คนเดิม แต่เราไม่เจอหมวกแล้ว เราได้สูญเสียหมวกอันเป็นที่รักไปเสียแล้ววว  

หลังจากนั้นเราเดินไปที่หน้าทำการไปรษณีย์ แล้วเดินต่อไปอีกนิด เพื่อที่จะไปกินร้านแหนมเนือง จากรีวิวในพันทิป  เป็นแหนมเนืองเวียดนามแท้ๆ  รสชาติก็พอกินได้นะ แต่บ้านเราอร่อยถูกปากกว่าเยอะ ตอนแรกเขาเห็นเราเป็นต่างชาติ เขาเดินมาสอนเราห่อ ให้ถึงโต๊ะเรย  น่ารักมาก





พอกินอิ่ม ก็ได้เวลาเดินกลับไปรอรถเมล์สาย 86 เพื่อกลับไปยังสนามบิน นอย ไบ เพื่อขึ้นเครื่องกลับดอนเมืองเวลา 3 ทุ่ม   มาถึงป้ายรถเมล์ไม่นาน รถเมล์ก็มาพอดี ก็นั่งยาวไปสนามบินเรยครับผม 






พอถึงสนามบิน ก็ยังพอมีเวลาเหลืออีก 3 ชั่วโมง ก็ไปโหลดกระเป๋า เช็คอิน และเข้าไปหาของกินกัน



เราเดินเลือกอยู่พอสมควร ไปจบที่ร้านขายขนมปังฝรั่งเศษ ไส้ทูน่า ราคา 19000 ดอง ก็ไม่แพงมาก แต่ที่แพงคือ ลืมหมอนรองคอไว้ร้านนี้ คือรู้ตัวตอนที่ผ่าน ตม.เข้ามาแล้ว  ออกไปไม่ได้แล้วจร้า เลยเออ ช่างมัน เท่ากับทริปนี้ ลืมทั้งหมวก ลืมทั้งหมอนรองคอ เรย อย่างเซ็ง


ตอนออกมารอหน้าเกต ก็ได้ไปซื้อ เบียร์ไฮเนเก้น มากิน 2 กระป๋อง กระป๋อง ละ 2 ดอลล่า เป็นการฉลองจบทริปก่อนกลับไทย เป็นอันว่าทริปนี้ จบโดยสมบูรณ์แบบ


ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่มาฮานอย เป็นเวลา 5 วัน ที่คุ้มค่ามาก และได้ความประทับใจไปหลายๆเรื่อง และมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่เราเคยคิด  การมาที่นี่ ก็เหมือนเป็นการเติมเต็มความฝันของผมอย่างนึงเลยล่ะ   ถ้าย้อนไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ผมมีความฝันที่อยากจะมาซาปามากๆ โดยดูจากรายการ Class Room ที่ซันนี่มา  เลยจุดประกายการเดินทางทั้งหมด

และวันนี้ผมได้มาเหยียบ ได้มาเห็น ได้มาสัมผัสด้วยตาของตัวเองจริงๆซักที แน่นอนว่าที่นี่ มีครั้งต่อไปแน่นอน  ส่วนการเดินทางต่อๆไป จะเป็นที่ไหน เด่วเจอกันครั้งหน้าครับผม



Popular Posts

Facebook