ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

KAWAGUCHIGO : JAPAN EP2


KAWAGUCHIKO

EP.2

09.02.20



เช้านี้เป็นเช้าวันแรกในประเทศ ญี่ปุ่น และเป็นวันแรกที่เราจะได้ใช้ pass เป็นวันแรก  ผมตื่นขึ้นมาประมาณ 6 โมงเช้า และเตรียมตัวออกจากที่พักประมาณ 6 โมงครึ่ง  ผมเดินไปขึ้นรถไฟเมโทร สาย Oedo line  ขึ้นจากสถานี kuramae  ไปยัง shinjuku-nishiguchi  เพื่อไปขึ้นรถไฟ LTD ไป kawaguchigo






ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง ในการไปดูภูเขาไฟฟูจิ  ที่ง่ายที่สุด  กำหนดการ ขึ้นรถไฟของเราอยู่ที่ 7 โมง 35 นาที   กำหนดการถึง ประมาณ 9 โมง 39 นาที  รถไฟญี่ปุ่นออกตรงเวลามากๆๆ  คือไม่สายแม้นาทีเดียว  เวลาไม่มีโอกาสกระดิกไป ที่ 7.36 นาที    พอ 7.35  ปุ๊ป คือล้อหมุนทันทีเลย ใครมาขึ้นรถไฟเรท ก็จบครับ  ไม่มีการรอแต่อย่างใด






ใช้เวลา 2 ชม. อยู่บนรถไฟ  บนรถไฟสายนี้ มีwifi ให้เล่นฟรี  มีโต๊ะกินข้าว คล้ายบนเครื่องบิน  เราสามารถเอาข้าวหรืออาหารขึ้นมานั่งกินบนรถไฟได้เลยครับ 







นั่งรถไฟไปดูวิวข้างทางไป  เพลินดี  พอเวลาผ่านไปซักชั่วโมง เริ่มออกนอกเมืองเราก็จะเริ่มเห็น ภูเขาไฟฟูจิ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้วล่ะ ขอบอกว่า มันดีมากๆ กับการได้มาเห็นฟูจิของญี่ปุ่นซักครั้งในชีวิต




พอเวลา 09.39 เป๊ะ รถก็ถึงสถานีพอดี   คือเป๊ะทั้ง เวลาออก และเวลาถึง  คือดีมากๆ  เมื่อออกจากรถไฟ ความหนาวเย็นก็เข้ามาแทนที่ เช็คอุณหภูมิตอนนั้นคือ 2 องศา  แต่ลมนี่แหละที่ทำให้มันโคตรหนาว

เมื่อลงไปที่สถานีรถไฟ เราจะเห็นจุดขายตั๋ว เราสามารถเดินไปซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ได้เลย หรือจะซื้อผ่านตู้ก็ได้เหมือนกัน  ตั๋วรถเมล์ที่นี่ มีทั้งหมด 3 สาย คือสายสีน้ำเงิน สีเขียว และสีแดง  ราคาบัตรเหมา 1500 เยน สามารถขึ้นรถได้ทั้ง 3 สาย ไม่จำกัดรอบ ในเวลา 2 วัน  คุ้มนะ ถ้าขึ้นๆลงๆบ่อยๆ


เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ  ก็ไปรอสายสีเขียว  กะจะไปเที่ยวโซนนี้ก่อน  แต่รถก็ยังไม่มา ก็เลยเปลี่ยนไปสายสีแดง สายนี้คือฮิตสุด ใกล้สุด ออกถี่สุด  แล้วก็เห็นฟูจิชัดสุด  ก็เลยขึ้นไป  สายสีแดง






นั่งไปซัก 20 นาที เราก็ไปลง bus.no17 แล้วเดินไปริมทะเลสาบ  ต้องบอกก่อนว่าลมแรงมาก แล้วโคตรหนาว ก็เลยเข้าไปหลบอยู่ในร้านขายของร้านนึง มีทัวร์คนไทยลงมาที่นี่ประจำ  มีพนักงานคนไทยด้วย
ด้านใน มีพวกของฝากเต็มไปหมด มีห้องน้ำให้เข้าด้วย




พอหลบจนหายหนาว แล้วก็กลั้นใจ ออกไปถ่ายรูปใหม่  แต่ลมบริเวณนั้นแรงจริงๆ คือมือนี่แข็งไปเลย เพราะไม่มีถุงมือกันหนาว  ก็เดินเล่นอยู่แถวนั้นซักพัก ก็กลับไปที่ bus.stop จุดเดิม  แล้วขึ้นรถกลับมาลง staion ที่ 9 บริเวณนี้วิวดี อาจไม่เห็นฟูจิ  แต่เห็นวิวทะเลสาบชัดเจนและทิวเขาสวยงาม

แถมจุดนี้ยังเป็น จุดที่ล่องเรือ และจุดที่ขึ้นกระเช้าอีกด้วย  แต่เราไม่ได้ขึ้นจร้า แค่รถบัสเวลาก็ไม่พอแล้วจร้า  ถ้าใครมีเวลาทั้งวันเยอะๆ ก็ไม่ควรพลาดที่จะลองมาขึ้นกระเช้าชมวิวฟูจิดูซักครั้้ง



ก็เดินยังไม่ทันไร  ก็ได้เวลากินข้าวเที่ยงอีกแล้ว เราเดินขึ้นไปบนร้านอาหารแห่งหนึ่ง ชั้น 2  ตอนแรกกะจะสั่งราเมง แต่พอดูโต๊ะอื่นๆสั่ง เหมือนมีเมนูนึง เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน  เป็นเหมือนหม้อซุปอะไรซักอย่าง  เป็นหม้อไฟด้วย น่าจะฟินน่าดู








ก็เลยลองสั่งมากินกันดู ราคา 1500 เยน  แพงมากกก  แล้วก็สั่งข้าวผัดอีกจาน  700 เยน  สบายตัว 2200 เยน มื้อนี้  เกือบ 800 บาท 555+  แต่ก็นานๆที



พอเค้ายกมาเสิร์ฟ ต้องจุดไฟแล้วรอ 10 นาที ถึงจะได้กิน  รสชาติก็ไม่ถูกปากเท่าไหร่ แต่ก็กินได้ พอได้กินของร้อนๆ ในอากาศหนาวๆก็ฟินไปอีกแบบ  กินเสร็จ จ่ายตังค์ ลงไปถ่ายรูปริมทะเลสาบ และขึ้นรถกลับไปที่สถานีแรกที่ขึ้น red line เพื่อที่จะต่อไปสายสีน้ำเงิน


แต่รถสายสีน้ำเงินก็ไม่มาซักที  แล้วสายนี้ใช้เวลาวิ่งนาน  ถ้าพลาดรอบนี้ เราก็จะตกรถไฟ ก็เลยเปลี่ยนใจมาขึ้นสายสีแดงอีกครั้ง เพราะสายสีแดง ใช้เวลา ครึ่งชั่วโมง วิ่งจนสุดสาย แต่สายอื่น ใช้เวลา 1 ชม. ในการวิ่งสุดสาย และ 2 ชม. สำหรับ ไป-กลับ ซึ่งดูแล้วไม่ทันรถไฟกลับโตเกียวแน่





เลยกลับไปขึ้นสายสีแดง แล้วไปลงสถานีสุดท้าย คือ bus.no21   ใช้เวลาไม่นานก็ถึง หลังจากนั้น ก็เดินลงไปถ่ายรูปกับฟูจิ ที่นี่ถ่ายกับฟูจิก็วิวดีไม่แพ้กัน ใช้เวลาที่นี่ประมาณ 20 นาที ก็ต้องขึ้นรถสายเดิมกลับไปขึ้นรถไฟกลับโตเกียว

แต่ปัญหาคือ คนเยอะมาก ในขากลับรอบนี้ แต่โชคยังดี ที่ยังได้ขึ้นต้นทาง เพราะคนที่ยืนรอรถระหว่างทาง รถไม่แวะรับแล้ว เพราะคนเต็มตั้งแต่ต้นทาง ถือว่าโชคยังดี ที่เราไม่ด้อยู่สถานีอื่นตอนขากลับ

เรามาถึงสถานีรถไฟประมาณ 15.50  และรถไฟออกเวลา 16.00  คือ ถ้าไม่ได้ขึ้นรถบัสรอบนี้ก็คือ ตกรถไฟแน่นอน  ขากลับก็ อีก 2 ชม. เช่นกัน  แต่วิวข้างทางนี่สุดจะอลังการ


ถือว่าเป็นเส้นทางที่วิวดีเส้นนึงก็ว่าได้เลยล่ะ  ได้เห็นบ้านเมืองในแถบชนบทของญี่ปุ่น สงบและสะอาดมากๆ


เรามาถึงสถานี ชินจูกุ เวลาประมาณ 6 โมงเย็น และมีแพลนว่าจะเดินเล่นแถวๆย่านชินจูกุก่อน







 แล้วจะไปใช้คูปองกินเบียร์ที่เหลือจากเมื่อคืน อีก 600 เยน  ที่ร้านเดิม GINZA 300   แต่บรรยากาศผิดกับเมื่อคืน เพราะคนน้อยมาก คือมันยังไม่ดึกมาก








คนก็เลยยังน้อยอยู่ ซึ่งชอบแบบนี้มากกว่า

ก็สั่งเบียร์ไปชิวๆ กินไปกินมา กะจะกินแค่ คูปอง 2 ใบ กลายเป็นว่าซื้อเพิ่มอีก 3 ใบ แม่เจ้า อีก 990 เยน  555+  อะไรวะเนี่ย    กินเสร็จ ก็ออกไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ไปอูเอโนะ เพื่อไปกินราเมงข้อสอบ ลงที่สถานี อูเอโนะ





สถานีใต้ดิน เริ่มที่ G08  ไป G16  ใช้รถไฟใต้ดินสาย GINZA  พอออกจากสถานีก็เดินตรงไปเรื่อยๆ ร้านจะอยู่ด้านขวามือ  ไปถึงก็ต่อคิว แล้วกรอกข้อมูลของราเมง  เส้นเล็กหรือใหญ่ เผ็ดน้อยหรือมาก ผักเอามั๊ย ประมาณนี้  จากนั้น ก็ไปหยอดเหรียญสั่งอาหารด้านใน 980 เยน  หรือชามละประมาณ 300 บาท




ฟังไม่ผิด 300 บาท กับราเมงชามเดียว เมื่อสั่งเสร็จรอคิว เมื่อมีที่นั่งว่าง  เราก็เข้าไปนั่ง ก็จะเป็นช่องๆ เหมือนโต๊ะทำข้อสอบ เพื่อความเป็นส่วนตัว น้ำฟรี  ตอนเสริฟจะยื่นเข้ามาแค่ชามราเมน แล้วปิดช่องของเรา ให้เป็นส่วนตัว  เออ ดี  แต่รสชาติดีอยุ่นะ  ก็แหงแหละ ชามตั้ง 300 แหนะ

ผมใช้เวลากินไม่นานมาก จนหมดชาม เรียกได้ว่าแทบไม่เหลืออะไรเลยดีกว่า กินเสร็จก็กลับที่พัก โดยไปขึ้นรถไฟใต้ดิน จากสถานีอูเอโนะ G16 ไป G18 เป็นที่พักของเรา  ขากลับก็แวะ แฟมมิลี่มาร์ท แวะซื้อข้าวปั้น ข้าวกล่องไว้กินพรุ่งนี้เช้า บนรถไฟ




เป็นอันจบทริปในวันนี้ ในเวลา 5 ทุ่มกว่า
ไปอาบน้ำนอน รอสู้ต่อไปในวันพรุ่งนี้

 



Popular Posts

Facebook