ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Singapore walk way : The last Ep.3

สวัสดี สิงคโปร์
        เมื่อรถบัสที่เรานั่งมาจากเมืองกัวลาลัมเปอร์ 5 ชั่วโมงผ่านไป ก็เริ่มเข้าสู่เมืองรัฐยะโฮร์ ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่ติดประเทศสิงคโปร์ เมื่อรถเข้าเทียบท่ารถที่รัฐยะโฮร์ คนก็ลงจากรถแทบหมดรถ เหลือสมาชิกในรถเพียง5ชีวิตเท่านั้น คือคนมาเลเซีย3คน ไทย1คน และสวีเดน1คน

จากนั้นรถเริ่มเคลื่อนเข้าสู่ปากทางออกประเทศมาเลเซีย ซึ่งรถติดมาก มีรถบัสเป็นร้อยคันต่อคิว
คนขับบอกให้เราเดินไปปั๊มพาสปอร์ต เพื่อทำเรื่องออกจากมาเลเซียก่อนเลย แล้วเดี๋ยวเค้าจะจอดรออยู่ด้านล่าน ถ้ารอให้รถไปจอดตรงนั้นน่าจะต้องรออีกเป็นชั่วโมง  เราจึงทำการเก็บสัมภาระทุกชิ้นลงจากรถไปปั๊มพาสปอร์ตออกจากมาเลเซีย ซึ่งใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ คนต่อคิวยาวๆๆมากกก

หลังจากปั๊มพาสปอร์ตออกจากมาเลเซียแล้ว เราก็ลงมาหารถบัสซึ่งมีทะเบียนนี้
รถบัสของเรา
   แต่ปรากฏว่ารถบัสเยอะมากๆ สีก็เหมือนกัน ทำให้หาไม่เจออ  ตอนนั้นเราต้องหารถขึ้นข้ามไปฝั่งสิงคโปร์ให้ได้  ก็เดินไปตามรถต่างๆ  บังเอิญไปเจอรถคันนึง เป็นบริษัทที่รับส่งข้ามไปยังสิงคโปร์
เพื่อนชาวมาเลเซียที่ตกชะตากรรมเดียวกันช่วยคุยให้ จาก3.3ริงกิต  จ่ายแค่3ริงกิต

เสื้อสีเทา คือเพื่อนชาวมาเลเซีย
ท้องฟ้าระหว่างข้ามไปยังสิงคโปร์



ที่สิงคโปร์ฝนตกเป็นบางแห่ง
     หลังจากที่เข้าปากทาง ประเทศสิงคโปร์ ก็เหมือนเดิม ผมต้องเดินลงไปพร้อมเพื่อนอีก4 คน เพื่อเข้าไปปั๊มพาสปอร์ต ประเทศสิงคโปร์ และต้องนำสัมภาระทุกชิ้นลงไปทั้งหมด จากนั้นนำสัมภาระเข้าเครื่องแสกนก่อนจะเข้าไปด้านในอาคาร  และทำการกรอกใบimmaginal เข้าประเทศ  หลังจากกรอกเสร็จ ก็ไปยืนเข้าแถวต่อคิว รอผ่าน ตม.

ระหว่างที่รอนั้นเอง ก็มีตำรวจสิงคโปร์ ใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำ CIA เข้ามาขอตรวจพาสปอร์ต  แล้วคือกุโดนคนแรกเรยจร้าาาา  เค้าขอดูพาสปอร์ต ถามว่าเราอยู่กี่วัน ขอดูบัตรประชาชนของไทยด้วย
ดูว่าหน้าเราตรงกับพาสปอร์ตมั๊ย แต่ก็ไม่มีอะไรทำการคืนพาสปอร์ตให้ จากนั้นเพื่อนมาเลเซียของผมก็โดนเป็นรายที่2ก็ไม่มีปัญหาอะไร  เริ่มสุ่มตรวจตามแถวต่างๆ

แต่มีอยู่แถวนึงโดนสุ่มตรวจ คือเหมือนเค้าไม่มีสัมภาระมา แต่ไม่ได้มาคนเดียวนะ  คือมากับเพื่อนแต่ตำรวจเห็นว่าไม่มีกระเป๋าสัมภาระ โดนจับเข้าห้องเย็นทันที  ทั้งๆที่ยังไม่ถึงคิว ตม.เลย

จากนั้นแถวผมเริ่มใกล้เข้ามา  เพื่อนชาวสวีเดนผ่านไปเป็นคนแรก และเพื่อนชาวมาเลเซียของผมที่ใส่เสื้อสีเทานั้น โดนเรียกเข้าห้องเย็นจร้า  เห็นเค้าคุยกับ ตม.อยู่พักนึง  ตม.ส่ายหน้า และกดปุ่มสีเขียว
จากนั้นตำรวจเดินเข้ามาพาตัวออกไปทันที   ตอนนั้น เชี่ยแล้วๆๆ

หันกลับมาหาพวกผมแล้วบอกว่าให้ไปก่อนเลยย ไม่ต้องรอ  จนถึงคิวของผม เดินเข้าไปยื่นพาสปอร์ต
แสกนนิ้วชี้คู่ จากนั้น ตม.เริ่มถามว่า อยู่กี่วัน เราก็บอก4วัน  กลับวันไหน และมีตั๋วขากลับมั๊ย  และขอดูตั๋วขากลับของผม หลังจากเห็นตั๋วขากลับ นั้นก็ปั๊มพาสปอร์ตให้ผม และผมก็รอดมาได้แบบหวุดหวิด

ผ่านตม.มาได้ ก็ต้องแสกนสัมภาระอีกครั้ง  โทรศัพท์ เข็มขัด ต้องถอดออก เดินผ่านเครื่องตรวจโลหะ
ก็ผ่านมาได้ และในที่สุดก็ได้เหยียบแผ่นดินสิงคโปร์  หลังจากนั้นก็ลงไปรอรถบัสบริษัทเดิม ที่เราซื้อตั๋วมา3ริงกิตนั่นแหละ  แต่การรอรถเมล์ที่นี่ ผมอยากให้มีที่ไทยมากเลย

คือมันเป็นเหมือนช่องเล็กๆให้เราเดินเข้าไป บริษัทใคร บริษัทมัน เดินเข้าตามช่อง รถจะมาจอด ประตูรถจะตรงกับช่องที่เรายืนรอพอดี ไม่มีการลัดคิว เป็นระเบียบเรียบร้อย

และซิมที่ผมซื้อไว้ก็เปลี่ยนเครือข่ายมาใช้ของsing tel อัตโนมัติ ไม่ต้องปิดเครื่อง ไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้เน็ตได้ปกติ สะดวกมากสำหรับซิมโรมมิงตัวนี้ ไป2ประเทศแต่ใช้แค่ซิมเดียว
บนรถประเทศสิงคโปร์
ตอนนั้นเหลือแค่ผม และหญิงสวีเดน เท่านั้น ที่ขึ้นมาบนรถคันนี้ ก็รอให้รถจอดสุดสายที่ย่านใจกลางเมือง  หลังจากเดินลงจากรถ  หญิงสวีเดน เหมือนงงๆว่าอยู่ตรงไหน แล้วจะไปที่พักได้ยังไง
ผมเองเลยช่วยดูให้ ว่าเค้าพักที่ไหน ซึ่งเค้าไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีแผนที่อะไรเลย รู้แค่ชื่อโรงแรม กับแผนที่ของโรงแรม ผมเลยเสิร์ชให้ ว่าโรงแรมของเค้าอยู่ใกลจากจุดนี้เท่าไหร่  สรุปว่าอยู่ห่างออกไป ประมาณ1กิโล นิดๆ แต่ด้วยความที่เค้าไม่มีกูเกิลแมพ และถ้าผมจะบอกทางไปเค้าก็จะงง

ผมเลยอาสา เดินไปเป็นเพื่อนเค้าเลย   เค้าถามผมว่าจริงหรอ จะเดินไปด้วยจริงๆหรอ เค้าขอบคุณและเหมือนจะเกรงใจผมมาก เพราะเห็นแบกกระเป๋า2ใบ ผมก็บอกไม่เป็นไร ผมจะพาเค้าไปเอง
จากนั้นผมก็เดินนำ พาเค้าไป ระหว่างเดินไปก็คุยกันไป เค้าก็มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน และเค้าเคยไปประเทศไทยแล้วว เคยไปกรุงเทพ กับที่ไหนไม่รู้ผมฟังไม่ออก   เดินไปซักพักเค้าบอกว่าไม่ต้องไปส่งแล้ว  ผมก็งงๆ ว่าอ้าวทำไมล่ะ เค้าก็ชี้ขึ้นไป ป้ายโรงแรมตัวใหญ่มาก

โหแม่งพักที่อย่างหรูอ่ะ  ว่าจะถามว่า พักคนเดียวจะคุ้มหรอ 5555 ชื่อโรงแรม royal on the beach
เค้าก็ขอบคุณผมที่เดินมาส่งเค้า ผมเลยขอถ่ายรูปก่อนจะแยกย้ายเป็นที่ระลึก
เพื่อนชาวสวีเดน
จากนั้นผมก็เดินย้อนกลับไป และเดินหาโรงแรม ที่จองเอาไว้นั่นคือ Bunc hostel
ย้อนกลับไปจากที่เดิมประมาณ 500เมตร ก็ถึง มีสถานีรถไฟฟ้าอยู่ด้านหน้าโรงแรมเลย สะดวกมาก
ก็ทำการเช็คอิน เข้าที่พัก และรีบออกมาซื้อบัตร Eazy link ของสิงค์โปร์ทันที
ก็สถานีหน้าโรงแรมนั่นแหละ  เสียไป12เหรียญ ค่าบัตร

แถมหยิบแผนที่รถไฟมา1แผ่น ไม่รอช้า ผมมุ่งหน้าไปที่marina bay เป็นที่แรก แต่ด้วยความงก ผมลงก่อน1สถานี ไปลงdowntown ไม่อยากเปลี่ยนสายรถไฟ ตอนนั้นก็จะ4ทุ่มแล้วด้วย
ถนนเรียบกริบเลย สถานีรถไฟด้านขวา โรงแรมอยู่ฝั่งตรงข้าม

บัตร eazy link

เมืองสิงคโปร์

เป็นระเบียบมาก

สวยงาม

หลังจากออกมาจากรถไฟฟ้า เราก็จะเห็นเมืองสิงคโปร์ ตึกล้อมรอบไปหมด แต่ที่ชอบคือ เดินข้ามถนน ต้องกดไฟข้ามถนนด้วย ปลอดภัยแน่นอน  ประเทศไทย ทางม้าลายไม่ได้ทำให้ชีวิตกุปลอดภัยเรย ห่ามึงเอ๊ยยยยย  555 เล่นฝ่าไฟแดงขนาดนั้น

ที่นี่ปลอดภัยแน่นอน แค่อย่าลักไก่ก็พอ  หลังจากเดินออกมาสักพัก ที่นี่เค้ามีจัด carnival พอดี
เข้าฟรีนะครับ ตรวจอาวุธนิดหน่อย เข้าไปสำรวจ คล้ายๆงานวัดบ้านเรา มีปาโป่ง ยิงปืนเอาตุ๊กตา
บ้านเราเรียกงานวัดนั่นแหละจร้าาา 5555



carnival


เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอสัญลักษณ์ของสิงคโปร์  แลนด์มาร์กสำคัญของประเทศกำลังทำการโชว์แสงสีเสียงอยู่พอดี เลยเดินเล่นไปดูไป ก็ชิลๆดีนะครับ  แต่ชิลมากไม่ได้นะครับ เพราะรถไฟฟ้าปิดเที่ยงคืน
ต้องเผื่อเวลากลับด้วยล่ะ  วันนี้มาเดินเล่นรับลมไปก่อน  พรุ่งนี้ค่อยออกเที่ยวทั้งวัน
มารินา เบย์
  หลังจากชมเมืองได้สักพักก็ได้เวลากลับแล้วเนอะ  เดี๋ยวไม่มีรถกลับซวยเรยยย
ค่าแท็กซี่ที่นี่ ก็แพงบรรลัยเลยล่ะ ฮะ 5555  กลับไปโรงแรมอาบน้ำนอน สบายสุดๆ

ตื่นเช้ามาอีกวันก็ลงมากินอาหารเช้า อาหารเช้าที่นี่อร่อยที่สุดตั้งแต่เดินทางมาเลย  เป็นขนมปังปิ้ง
และซีเรียลกับนมสด แต่แยมบลูเบอรี่ที่นี่เค้าอร่อยจริงๆ แนะนำเลย มาพักเถอะ คืนนึงประมาณ500บาท
ซีเรียล คอนเฟล็ก
หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาตะลุยสิงคโปร์    ที่แรกที่ผมไปคือ เดินประมาณ 2 กิโลกว่าๆไปที่ ฟอร์ดแคนนิง  นั่นก็คือรูปปกของผมนั่นเอง ที่นี่ผมต้องบอกก่อนว่า อาจจะฮิตแค่พี่ไทยนะครับ ประเทศอื่นเค้าอาศัยตรงนี้เป็นแค่ทางผ่าน ไม่มาจอดถ่ายรูปเหมือนพี่ไทย   แน่นอนว่า เมื่อไปถึงก็เจอคนไทยประมาณ3-4 กลุ่มกะลัง รอถ่ายรูปกันอย่างเมามันส์  คนประเทศอื่นเดินผ่านเค้าก็งงๆกัน
พวกมึงถ่ายอะไรกันฟระ 55555 แทนที่จะไป เมอไลออน ไปยูนิเวอแซล ไม่จร้า

นี่แหละไทยแลนด์  รวมถึงกุด้วยเนี่ย 5555  แม่ง ยังคิดอยุ่เดินมา2กิโลเพื่อสิ่งนี้หรอวะเนี่ย
แต่คนไทยเยอะเกินไป เราตีเนียนเลยจร้า  ตีเนียนเป็นคนต่างประเทศ ทำเป็นพูดภาษาอังกฤษ
ประเด็นคือจะฟังว่าพวกมึงจะคุยอะไรกัน 555  เพราะถ้ามันรู้ว่าเป็นคนไทยด้วยกัน มันจะไม่กล้าคุยไง 5555  เราตีเนียนๆ  แต่รอมึงก็นานเกิ๊น  เด๋วค่อยกลับมาใหม่ก็ได้วะ ต้องรอแบบปลอดคนจริงๆ
ถึงจะได้รูปปกในแบบที่เราต้องการ  อุตส่าพกขาตั้งกล้องมาด้วยมันต้องได้ใช้แหละน่า

รูปปกทุกรูป ยกเว้นที่ปีโตรนาส ใช้ขาตั้งกล้องทุกรูปนะครับ  ข้อดีของขาตั้งกล้องคือ เราสามารถเลือกมุมของตัวเองได้  ถ้าให้คนอื่นถ่ายให้ มันไม่ถูกใจ  แต่ข้อเสียคือต้องแบกมันติดตัวไปทุกที่นี่แหละ ห่าเอ๊ย
เกะกะมากๆ บอกเลยยย

จากนั้นผมก็เดินออกมาสวนสาธารณะ แถวนั้น ที่สิงคโปร์สวนสาธารณะคือสวนที่เค้าไว้ใช้พักผ่อนจริงๆ
จะมีคนหลายกลุ่มมานั่งปิคนิค พูดคุยกัน สนุกสนาน เราเองยังรู้สึกว่าที่เรายืนอยู่จุดนี้ก็เป็นการพักผ่อนไปด้วย ทั้งที่ความจริงมันเหนื่อยโฮก 5555

มึงถ่ายไรกันฟระ

พี่ไทยเรานั่นเอง

ฟอดแคนนิงในมุมคนไทยย

สวนสาธารณะร่มรื่นมาก
  แล้วผมก็ตัดสินใจไปยูนิเวอแซลก่อน  โดยขึ้นรถไฟสายdhoby Ghaut ไปลง Habourfront
ค่ารถไฟฟ้าที่นี่ก็ยังถูกกว่าไทยอยู่ดีนะครับ ถึงแม้ว่าค่าครองชีพจะสูงลิบลิ่วก็ตาม  สำหรับน้ำดื่มแนะนำว่าควรกรอกน้ำเย็น ซึ่งเป็นน้ำจากเครื่องกรองน้ำมานะครับ น้ำที่นี่ขวดละ50บาท ขนาดขวด7บาทบ้านเรา
ค่ารถไฟฟ้าที่นี่ ไม่ถึง25บาท แต่บางครั้งก็30บาทนิดๆ ซึ่งถือว่าก็ยังถูกกว่าไทยเราอยู่ดี

ออกจากสถานีรถไฟ 
 เมื่อออกจากสถานีรถไฟ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น ดูป้ายคำว่าsentosa boardwalk อย่างเดียวจร้าา
อันนี้คือวิธีเดินข้ามไปเกาะsentosaนะครับ มีหลายวิธีที่ข้ามไปเกาะนะครับ ข้ามโดยรถไปmonorail
หรือจะข้ามโดยกระเช้าก็ได้ แต่เราชอบเดินก็ walk ดิครับ รออะไร   ความจริงคือมันฟรี ต่างหากล่ะ ปัดโถ่ววว 5555



เดินไปตามป้ายเรยจร้า
 อาจจะเดินไกลซักหน่อยนะครับ แต่มีหลังคาตลอดทางเดิน แถมมีทางเดินเลื่อน ช่วยผ่อนแรงเป็นระยะๆ
แต่ผมเดินด้วยขาล้วนๆ  ไม่ใช้เครื่องผ่อนแรงใดๆ  เสพติดการเดิน555

วิวทิวทัศน์
 เมื่อข้ามมาถึงยังเกาะ ก็มองหาป้ายUniversalต่อ  ก็เดินไปตามป้ายนั่นแหละครับ
ก็ถึงแล้วววว
Universal

วันอาทิตย์ คนจะเยอะมากๆ แดดก็ค่อนข้างร้อนมากๆ  ที่Universal ข้างในจะมีเครื่องเล่นสนุกๆมากมาย
แต่ด้วยความแพงของตั๋ว + เวลาอันน้อยนิด + คนที่ต่อคิวกันแบบโหดมากๆ  จึงตัดสินใจไปที่อื่นต่ออ

จริงๆแล้ว ผมขอพูดจากใจจริงเลยนะครับ ประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศที่ผมคิดว่าจะมาเพียงครั้งเดียว
เพราะในมุมมองของผม  ย้ำว่าเฉพาะมุมมองของผมแค่คนเดียว คือ สิงคโปร์เป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็ก
มาครั้งเดียวผมก็อยากไปให้หมดในครั้งเดียว เพราะเป็นประเทศที่ผมผ่านมาเพื่อเก็บแต้มเท่านั้น
เพราะตัวผมเองไม่ใช่สายเดินห้าง เดินช็อปปิ้ง หรือมาเพื่อพักผ่อนแบบหรูๆ  ผมมาเพื่อให้รู้ว่าประเทศนี้มีอะไร เค้าใช้ชีวิตกันยังไง มีอะไรดีกว่าประเทศเรา หรือประเทศอื่น เป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆของผมเท่านั้น    เพราะฉะนั้นผมจะไม่พยายามเข้าถึง ในสิ่งที่ผมไม่ต้องการนะครับ นี่คือการเดินทางในแบบของผม



จากนั้นผมก็เข้าศูนย์อาหารเพื่อดับร้อน แต่โอ้โหพี่จีนทั้งศูนย์อาหารเลยว่ะ  อาหารก็จีนทั้งศูนย์เช่นกัน
ผมสั่งน้ำแข็งใส มาในราคาเกือบๆร้อยบาทมา ด้วยความหวังว่ามันต้องอร่อย และรสชาติที่ชวนฟินคลายดับร้อน
ศูนย์อาหารsentosa

น้ำแข็งใสหน้าตาน่ากิน
เนื่องจากผมเห็นคนสั่งก่อนหน้า ดูหน้าตามันช่างหน้าลองซะเหลือเกิน
ผมเลยบอก ป้า !!  เอาแบบนั้น แล้วชี้ไป ชามนึงคับป้า !!

 หลังจากชิม คำแรก โอ้โหหหห
เอาอะไรให้กุแดกวะเนี่ย 555 รสชาติมันเหมือนยาจีนอะไรซักอย่าง คือต้องใช้คำว่าฝืนๆกิน
ปิดจมูกเอา  ใครไปก็ไปลองสั่งดูนะ  กินได้ครึ่งถ้วยก็ขอตัวกลับเลย
เราก็ย้อนกลับไปทางเดิม เดินเข้าห้างvivo เพื่อจะไปสะพาน Henderson wave หรือสะพานโค้งรูปคลื่น

เดินกลับทางเดิม
 แต่คราวนี้เราต้องขึ้นรถเมล์แล้วนะครับ  การขึ้นรถเมล์ที่สิงคโปร์ กับมาเลเซีย เหมือนกันคือ เดินขึ้นด้านหน้าเท่านั้น และเดินลงด้านหลัง ไม่ใช่ขึ้นมั่วเหมือนไทยนะครับ
บูธผสมเครื่องดื่ม



เมื่อผมกะลังจะเดินออกหน้าห้างเพื่อไปขึ้นรถเมล์ ผมก็เจอบูธ ขายเครื่องดื่ม  ของสิงคโปร์ ไม่รอช้าครับ
ชิมทันที  โอ้โห รสชาติ มันแรงกว่าไทยอีกแฮะ รสชาติออกแนวไวน์ผสมกับมะนาว ผ่านการเชคค
เหมือน ค็อกเทล ตามบาร์

หลังจากยืนอยู่ตรงนั้นซักพัก เข้าบูธนั้นออกบูธนี้  ผมเริ่มรุสึกถึงการยืนไม่ตรง  55555 ผมเลยรีบเดินออกมาจากตรงนั้นก่อนดีกว่า  ก่อนที่จะขึ้นรถเมล์ผิดสาย

นั่งพัก

จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์สาย อะไรไม่รุ จำไม่ได้หาในรีวิว เหมือนกัน เค้าบอกให้ขึ้นแล้วพยายามมองสูงเข้าไว้
กุก็มองสูงเลยจร้า  สรุปเลยป้ายยยย  แม่งเอ๊ย  ดูกูเกิ้ลแมพ ก็ดีอยุละ  นี่ถ้ามัวแต่มองสูงก็นู่นแหละ
สุดสายยย  5555   ดีนะที่เชคกูเกิ้ลแมพ ไม่งั้นเหนื่อยกว่านี้เยอะเลย  ต้องเดินย้อนกลับมาอีกครึ่งกิโล แถมเดินขึ้นอีกนิดหน่อย  ก็มานั่งพักซักหน่อย

ที่สิงคโปร์ถึงแม้ไม่มียาม ไม่มีตำรวจ แล้วเค้ารู้ได้ไงว่าคนทิ้งขยะ ว่าคนทำผิดกฎ ที่นี่มีกล้องแทบทุกมุมของแหล่งท่องเที่ยวเลยนะ ความปลอดภัยที่นี่จะสูงมากกก  เดินตอนกลางคืนที่นี่ไม่ต้องกลัวอะไรเลย
ปลอดภัยแน่นอน

สะพานรูปคลื่น
 และก็เดินสำรวจสะพานกันต่อ เดินไปถ่ายรูปไป เพลินๆลมเย็นๆ ชิลๆ  แต่ก็แอบร้อนนิดหน่อย
หาที่นั่งเย็นๆซะหน่อย ก็นั่งมันกลางสะพานนั่นแหละ 555

ไม่เคยจะแคร์อะไรอยู่แล้ว เรามันคนไทย  ฝรั่งยังมอง มึงมานั่งตรงนี้เนี่ยนะ 5555
ความสุขเราอย่าไปแค์คนอื่นครับ แถมลมพัดเย็นด้วย จนอยากนอนเลยล่ะ
หลบแดด
หลังจากนั่งหลบแดดสักพัก ก็มีกลุ่มสาวๆมาเลเซีย มาขอถ่ายรูป ใช่ครับ ฟังไม่ผิดมาขอถ่ายรูปครับ
มาขอให้เราถ่ายรูปให้เค้าหน่อย เห็นเรานั่งโง่ๆ จะได้มีอะไรให้ทำ 55555

โถ่ววว ผมเลยจัดไปให้หลายรูป  ยิ้มกันหน้าบานทุกคน ป่าววว หน้ามึงบานกันอยุ่แล้วป่าววะ

ไม่รอช้าเดินไปจนสุดสะพานมาเจอป้าย green zone ที่นี่มีเส้นทางเดินธรรมชาติยาว9กิโลเมตร
แต่ตรงที่เราอยู่มันน่าจะอยู่กิโลเมตรที่6แล้ว  ตอนนั้นคิดอยู่ว่าจะมาเดินพรุ่งนี้ตั้งแต่ต้นเลย
หรือจะเดินตรงนี้ไปอีก3กิโล  เรามีเวลาค่อนข้างน้อย เลยจัดไปครับ3กิโล เดินจากจุดนี้ไปตามป้ายเรื่อยๆ
ให้ถึงMRT Habour front  เดินสำรวจธรรมชาติไป ด้วยรองเท้าแตะคู่ใจของเรา

green zone

วิวเมืองสิงคโปร์

เดินไปเดินมาก็มาถึงจุดขึ้นกระเช้า
นี่คือเส้นทางเดินสายธรรมชาติ
เราก็เดินมาจนถึงสถานีรถไฟ habourfront ไม่รอช้า ขึ้นรถไฟกลับไปที่ฟอร์ดแคนนิงทันที
คราวนี้ เหมาะเจาะไม่มีคนไทย ไม่มีฝรั่ง ไม่มีใครเรย 555555

ตั้งกล้องแล้ว รัว ชัตเตอร์ทันที ด้วยความเร็วแสง 5555  จากนั้นก็ต่อรถเมล์จาก dhoby ghautไปที่ มารินาบาราจทันที เพราะจะ5โมงเย็นแล้ว เราจะไปชิลกันที่นี่

พอลงรถเมล์ได้  ก็เข้ามาในนี้ ในตัวอาคารมารินา เบย์ แซนด์ ตอนนั้นงงมาก เราจะไปมารินา บาราจ หาทางออกไม่เจอ เดินวนอยู่ครึ่งชั่วโมงได้  ทำไงถึงจะทะลุตึกนี้ไปอีกฝั่งนึงได้  เลยขึ้นลิฟไปชั้น3
ออกไปทาง garden by the bay ซึ่งคนอื่นเค้าก็ไปกันทางนี้ ซึ่งต้องเดินอีก2-3 กิโลกว่าจะถึงมารินาบาราจ 
ภายในตึกมารินา เบย์

ออกมาจากตึกได้สำเร็จ

กำลังเดินไปมารินา บาราจ

ผ่านสวน top tree การ์เด้น บายเดอะเบย์
 เดินไปตามป้ายเรื่อยๆ มาถึงก็เริ่มเย็นแล้ว และนี่คือที่ๆชิล ที่สุดในสิงคโปร์เลยนะ เพราะเราเห็นแลนด์มาร์กต่างๆ แสงสุดท้าย และลมเย็นๆ ลานโล่งๆ มันสบายตามากจริงๆ
ถ้าใครไปแนะนำให้ไปจุดนี้เลยครับ คุ้มค่าที่เดินทางมาแน่นอน

วิว มารินาบาราจ
 ข้างบนจะเป็นสนามหญ้า ให้นั่งเล่นกัน นั่งดูพระอาทิตย์ตก ลมก็เย็นมากๆอีกด้วย แต่ผมมาช้า เลยขออยู่เสพบรรยากาศตรงจุดนี้จุดเดียวพอ  เมื่อแสงเริ่มหมด ไม่รอช้าครับ

เดินไปที่ การ์เด้น บาย เดอะเบย์ทันที  เพราะช่วงค่ำจะมีโชว์แสงสีเสียงของงาน รอบนอกดูฟรีครับ


อย่าสับสนมาดู Top tree นะครับ  ผมมานั่งรอเมื่อไหร่จะโชว์ 55555
สรุปคนละโซนกันเลย  ต้องเดินต่อไปอีกก
Top tree

เพิ่มคำอธิบายภาพ

garden by thebay


อันนี้คือของจริงครับ ทำการโชว์แสงสีเสียง สวยงามมากๆ ผมนั่งดูอยู่20นาที โอ้โหหหห จะหลับ555
มันเพลิดเพลินจริงๆ กับอารมณ์ที่เราพร้อมจะมารับความรู้สึกแบบนี้

ป่าวหรอก คือเดินมาเหนื่อยเลยจะหลับ 5555  หลังจากดูโชว์เสร็จ ก็เดินกลับแต่ไม่กลับทางเดิมครับ ผมจะเลาะริมคลองไปเพื่อดู ตึกมารินาเบย์ แซนด์ แบบชัดๆ เต็มๆตา


มารินา เบย์ แซนด์
 คุณรู้รึป่าวว่า ตรงนี้เค้าเรียกกันว่าอ่าวมารินาเบย์แซนด์  เพราะเกิดจากการถมทะเล และสร้างแลนด์มาร์กสำคัญของสิงค์โปร์ขึ้นมา บนพื้นที่นี้ให้เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เมื่อก่อนมีแค่เมอ ไลออนเท่านั้น สุดยอดจริงๆ




นั่งดูวิวเพลินๆ
เมื่อเห็นชัดๆ ก็ขอนั่งสังเกตุแบบชัดๆด้วยเช่นกัน  มันเพลิน แล้วมันก็คุ้มกับเวลาที่เสียไปจริงๆ
ตรงไหนที่เราอยู่แล้วมีความสุขเรามักจะอยู่ตรงนั้น  อันนี้กุจำเค้ามาอีกที 55555

ได้เวลาก็กลับ ที่พักโดยขึ้นรถไฟฟ้าที่ bay frontเลย ตรงยาวไปลงหน้าที่พักเลย สถานีหน้าที่พักผมคือJalan besa ถึงที่พักอาบน้ำนอน

หลังจากตื่นมาก็อาบน้ำ กินอาหารเช้าและ เก็บของเช็คเอาท์ และไปที่พักคืนสุดท้ายกัน
แต่ก่อนที่จะไปที่พักคืนสุดท้าย ผมขอรีวิวที่พักนี้ละกันนะครับ แนะนำสำหรับคนที่จะมาพักที่bunc hostel
ที่พักที่ผมไปพัก ผมจองตอนลดราคา ได้มาคืนละ350บาท แต่สิ่งที่ได้ผมจะรีวิวดังต่อไปนี้
ส่วนล็อบบี้
 ในส่วนล็อบบี้นั้น มีแอร์เย็นฉ่ำและไวไฟฟรีทั่วพื้นที่ มีตู้กดซื้อน้ำ ตู้น้ำฟรีก็มี มีทีวีให้ดู มีครัวให้ใช้ และมีแมวอีก1ตัว แต่ลืมถ่าย
I Mac
 มี I macให้ใช้ฟรีๆ มีอินเตอร์เน็ตฟรี 3เครื่อง อีก3เครื่องเป็นของยี่ห้ออื่น




มี2ชั้น แต่มีลิฟท์เพื่อความสะดวก เวลาขนกระเป๋า

บริเวณทางเดิน




ห้องน้ำ
 เข้าห้องน้ำที่นี่แยกชายหญิง ทั้งห้องอาบน้ำและห้องน้ำ และใช้คีย์การ์ดด้วย

ล็อคเกอร์




และมีโซนครัว มีตู้เย็น ไมโครเวฟ น้ำร้อนน้ำเย็น และเครื่องทำอาหารระบบไฟฟ้าให้ใช้งาน และเครื่องซักผ้า เครื่องอบแห้งไว้ให้

โซนซักล้าง


โซน Fun
 เป็นโซนที่เอาไว้ดูหนัง ฟังเพลงกัน ส่วนใหญ่ฝรั่งจะชอบโซนนี้กัน ได้เพื่อนใหม่ก็โซนนี้เนี่ยแหละ





ห้องน้ำชาย
ห้องน้ำชาย ในส่วนของห้องน้ำมีประตูปิดมิดชิด แต่ในโซนห้องอาบน้ำนั้นต้องบอกเลยว่า มีค่าผ้าม่านกั้นเท่านั้น 5555 อยากดูห้องไหนเปิดได้เลย ตามใจชอบ  แต่ที่ชอบคือ เค้ามีเจลอาบน้ำอยู่ในห้องอาบน้ำ
แต่มันสามารถใช้ทั้งฟอกตัว สระผม และล้างหน้าในตัวเดียวกัน  คือ อยากรู้มันคือเจลห่าไรวะ 55555
แต่หอมมาก หอมติดตัวเลยล่ะ ของเค้าดีจริงๆ  อ่างล้างหน้าลืมถ่ายมาอยู่ฝั่งซ้ายมือ

  ผมว่าผมลืมอะไร ผมลืมถ่ายส่วนสำคัญคือเตียงนอน โถ่วเอ้ยยย
ถ่ายแต่ออฟชั่น 5555 แต่เตียงนอนนุ่มมาก ผ้านวมหนา มีโซนเก็บของวางของส่วนตัว มีปลั๊กไฟและไฟอ่านหนังสือส่วนตัว แอร์เย็น มีที่เก็บรองเท้าส่วนตัว มีที่ตากผ้าส่วนตัว ข้อเสียอย่างเดียวเลยคือ กลิ่นอับไปหน่อย แค่นั้นเอง

หลังจากนั้นเราก็มาเล่น I Mac ซะหน่อย พอเปิดรูปที่ถ่ายๆมาบนI mac แม่งแตกทุกรูป 5555
กุว่าเครื่องมึงดีเกินไปละล่ะ  แหม่จะละเอียดไปไหนพ่อคู๊นนน
เปิดกูเกิลแมพ เดินไป โรงแรมใหม่เราดีกว่า ชิวๆ เดินอีกแค่ 1.7 กิโลเท่านั้น
ลุยครับ กลางแดดร้อนๆ

หลังจากเดินไปถึงที่พัก เค้ายังไม่ให้เช็คอินต้องรอบ่าย2 ก็ฝากของไว้และเดินออกมาตัวป่าว
ระหว่างรอ ก็เดินเข้าห้างแถวๆนั้น  ไปเจอน้ำหอมถูกมาก 100ml ราคา แค่ขวดละ500 ซื้อ3แถม1อีก



เดินฆ่าเวลาไป รอเวลาเช็คอิน บ่าย2 ก็ไปเอาของเข้าห้อง แล้วก็ออกมาที่ มารินา เบย์ทันที
Mori hostel
 แต่ก่อนไปมารินา เบย์  ขอลองผัดหมี่ซะหน่อย ใกล้ๆที่พัก
รสชาติดีนะ แต่ก็จืดๆแหละ แต่รสชาติถือว่าดีกว่าที่อื่น 555

จากนั้นก็ไปขึ้นรถไฟฟ้า สถานี farrer park ไป marina bay



ออกจากสถานี มารินาเบย์ มาก็เดินมา รอบๆอ่าว ก็เจอสถานที่ถูกใจ เลยนอนฟังเพลงรับลมเย็นๆ ประมาณ2ชั่วโมงได้นะ ที่รากงอกอยู่ตรงนี้ มันชิลจริงๆ  วิวตึกพร้อมกับสายลมเย็นๆ สบายจายยย

และจะบอกว่าความสวยงามของสิงคโปร์ที่แท้จริง คืออยู่ในช่วงโพล้เพล้ คือก่อนที่แสงจะหายไปหมดนี่แหละ คือนาทีทองเลย มันสวยมากกกกกกก  มันคือช่วงเวลาไม่นาน แค่10-20นาทีเท่านั้น
ท้องฟ้าก็จะมืดสนิท
รูปจริง
 นี่คือรูปจริงๆที่ไม่ได้แต่งสีอะไรทั้งนั้น  มันสวยมากจริงๆ  บวกกับแสงไฟจากตึกค่อยๆเปิดขึ้นมา
มันเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจจริงๆ
เล่นโยคะ
นี่คือการเล่นโยคะที่วิวดีที่สุด 5555  
เมอ ไลออน
 เมื่อฟ้ามืดลงสนิท ผมเริ่มเดินรอบอ่าวทันที  ก็ไปถ่ายรูปมุมนี้ มุม เมอไลออน สัญลักษณ์ตลอดกาลของประเทศสิงคโปร์ 
ตึกทุเรียน
 เดินไปอีกหน่อย ก็จะเจอกับตึกทุเรียน 555 พี่ไทยเราเรียกซะเสียหมด

marina bay sand
 ค่ำได้ไม่นามารินา เบย์ แซนด์ ก็เริ่มโชว์แสงสีเสียง เอฟเฟกต์มากมายให้เราได้ชมกัน

สะพานฮีลิกซ์
 เดินมาอีกหน่อยก็จะเจอสะพานฮีลิกซ์ หรือสะพานเกลียว ทรงDNA นั่นเอง ถือว่าสวยงามอยู่นะสะพานนี้
จากนั้นผมก็เดินเข้าตึกหรู แต่ไม่รู้ชื่อห้างอะไร ข้างในมีแต่ของยี่ห้อดังๆทุกแบนด์ดังระดับโลก ตั้งอยู่ที่นี่ทั้งหมด ถ้าที่มาเลเซียก็มีที่ suria klcc ไทยก็พารากอน แต่สิงคโปร์ก็ต้องที่นี่เลย

แล้วคิดดูผมใส่รองเท้าแตะเข้ามาเดิน  5555 ไม่แคร์เว้ยยยย
ห้างห่าไร มีแม่น้ำอยู่ในห้าง ที่สำคัญมีเรือด้วย เรือพายให้คนที่ขี้เกียจเดิน นั่งชมห้างไปเพลินๆ
 โอ้โห เลิศหรู เพอเฟคจริงๆ  มีคาสิโนอยู่ในห้างนี้ด้วย  แต่ตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว ผมเลยไม่ได้เข้าไปสำรวจคาสิโน  นั่งรถไฟกลับมาที่สถานีเดิม และซื้อเบียร์มะนาวและมันฝรั่งฟิงเกิ้ล มาด้วย555
กะไปนั่งชิลๆ หน้าที่พักก่อนเข้านอน  ก่อนกลับกินข้าวซะหน่อย

ข้าวมันไก่
 ที่สิงคโปร์ข้าวมันไก่มีหลายแบบมาก ลองดูรูปแล้วค่อยสั่งละกันนะ
เบียร์มะนาว
 รศชาติอร่อยเลยล่ะ  กึ่งๆสปาย แต่ไม่เข้มเท่านั้น หลังจากกลับมาถึงที่พักผมก็เห็นเพื่อนผมอีกครั้ง
นั่นก็คือฟลุค เค้ากะลังทำการเช็คเอ้าออกพอดี  คือก่อนหน้านี้ ผมล่วงหน้ามาสิงคโปร์ก่อนฟลุค
และฟลุคถามผมว่าผมพักที่ไหน ในสิงคโปร์ ผมบอกว่ามี2ที่ คือ bunc และ Mori
แต่ฟลุคของเราเลือกพักที่mori คืนนึง และวันนี้คือวันที่เค้าต้องไปกรีซต่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็นัดกันไปเที่ยวนะ  แต่ด้วยเวลาไม่ตรงกัน เลยทำให้ไม่ได้ไปด้วยกัน

ก่อนจะจากลาเพื่อนจากปีนังถึงสิงคโปร์
 พอเค้าเห็นผม เค้าถามทันทีว่า เราสบายดีรึป่าว  ก็เริ่มคุยกันอีกครั้ง และเค้าต้องบินไปตี3
ซึ่งตอนนั้น 5ทุ่มแล้ว เราเลยบอกว่ากินเบียร์กันมั๊ย เค้าฟังเป็นว่า ผมจะขอกินเบียร์กับเค้า555
เค้ายื่นเงินมาให้ผม6ดอล ผมบอกไม่ต้องๆ แล้วผมก็ออกไปซื้อเบียร์ร้านค้าข้างๆที่พักมา2กระป๋อง
พอซื้อมาเค้าก็ยื่นเงินให้แต่เราไม่เอา เค้าก็เปลี่ยนมาให้มาแค่2ดอล แต่เราบอกว่าไม่เปนไร
ไว้ครั้งหน้าถ้ามาไทย ยูค่อยจ่าย  จากนั้นก็เริ่มคุยกันถึงเรื่องการเที่ยว เรื่องรูปถ่ายบ้าง และสุดท้ายก็ต้องลากัน เพราะต้องไปเชคอินก่อนขึ้นเครื่อง ก็ต่างคนต่างควักโทรศัพมาถ่ายรูป ก่อนจะกล่าวคำว่า Good luck my friend

โซนอาหารเช้า
หลังจากตื่นเช้ามา อาบน้ำแต่งตัว และลงมากินอาหารเช้า ก่อนจะเชคเอ้า 



อาหารเช้าเราก็จัดการกันเอง กินเอง เก็บเอง ล้างเอง โรงแรมแค่เตรียมของให้เราแค่นั้น



จากนั้นก็ทำการเช็คเอาท์  ต้องบอกก่อนว่าที่Mori ไม่แนะนำเลย ห้องมีกลิ่นอับ แต่ที่สำคัญที่ทำให้ที่นี่ดูไม่ดีไปเลย เพราะพนักงาน แม่งงง ไม่ต้อนรับลูกค้าเลย  สัจแต่ว่าทำหน้าที แม่งไม่มีใจจะทำ
แล้วจะทำ ทำไมวะ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ผมเข้าไปรีวิว ในbookingเรย ว่าที่นี่แย่มากเรื่องพนักงาน
เวลาเราทำอะไร ควรทำด้วยใจเนาะ ไม่ใช่สัจแต่จะทำแค่หน้าที่ของตัวเองให้มันเสร็จๆไป
งานบริการนะเว้ย ต่อให้โรงแรมดี แต่การบริการหน้าเป็นตูด ใครจะสบายใจวะถามหน่อย !!

อย่าไปพักเด็ดขาด   เสียเงินเพิ่มที่อื่นอีกนิดหน่อยแต่ได้ความสบายใจผมว่าคุ้มกว่า


ก่อนกลับไทยซื้อรองเท้าเดินป่า กับเสื้อฟรีซ กลับมา


แล้วก็นั่งรถไฟมาที่สนามบินเลย ต้องเปลี่ยนสาย ถึง4ต่อ กว่าจะถึงสนามบิน

สภาพการเดินทาง
 ต่อไปนี้ผมจะรีวิว สนามบินที่ดีที่สุดโนโลก ให้ฟัง



ตอนแรกเมื่อผมมาถึง ผมก็เข้าไปเดินเล่นในเทอมินอล2ก่อน แต่จากรีวิวที่เคยอ่านเค้าบอกว่าแอร์เอเชีย อยู่เทอมินอล1 ไอ้เราก็เดินเล่นอยู่เทอมินอล2สักพัก ก็ต่อรถ sky train ไป เทอมินอล1เลย




จากนั้นอ่านที่ป้าย departure เยดดดเข้  ไม่มีแอร์เอเชียเลย 5555
หาตัวช่วยด่วนนน  ไปเจอ ตู้ Flight info มันน่าจะช่วยเราได้น่า เลยลองไปกดเล่นๆ เออ ช่วยได้จริง
เค้าบอกว่าไฟท์บินของเรา ต้องไปขึ้น เทอมินอล4 แล้วจะไปยังไงล่ะ ตู้นี้ก็ช่วยได้อีก
กดไปที่รีวิว แมพ มันก็แสดงขึ้นมาเลยว่า เราต้องนั่งsky train ไปลง เทอมินอล2ก่อน แล้วลงบันไดเลื่อนไปชั้น1 แล้วต่อshuttle bus ไปเทอมินอล4 บอกละเอียดมาก บอกสถานะเช็คอินด้วย ว่าสามารถเช็คอินก่อนเวลาได้แล้ว




 ไปสิครับ รออะไร


ชั่งน้ำหนักสัมภาระที่จะโหลดลงเอง รวมกันไม่ให้เกิน20 KG กี่ใบก็ได้

จากนั้นทำการเช็คอิน ที่ตู้ด้วยตนเอง อัตโนมัติ ใช้พาสปอร์ต และ internary บาร์โคดที่ทำการจองไว้มาแสกน ก็จะได้ใบบอร์ดดิ้งพาสมา และ ระบุด้วยว่าจะโหลดกระเป๋ากี่ใบ ก็จะมีแท็คติดสัมภาระออกมาเท่ากับจำนวนที่เราจะโหลด

ซื้อน้ำหนักเพิ่มได้ที่นี่

อัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบ
 ที่นี่ไม่ใช้พนักงานเช็คอินเลย เราต้องทำเองทุกขั้นตอน จะเห็นได้จากรูป แม้แต่โหลดสัมภาระก็ต้องโหลดเอง  ตอนแรกคิดว่ากระเป๋ากุจะไปตกประเทศอื่นมั๊ยเนี่ย 5555





เมื่อเชคอิน และติดแทคสัมภาระแล้วก็ เข้าสู่ขั้นตอนการโหลดสัมภาระด้วยตนเอง ตอนแรกผมคิดว่าโหลดทีเดียว2ใบเลย  พนักงานเดินมาบอก one by one โถ่วววแล้วไม่บอกล่ะ อีหนู!!

โดยเราต้อง เอาบอร์ดดิ้งพาสที่เพิ่งปริ้นมาแสกนซะ จากนั้นเครื่องจะให้เราแสกนพาสปอร์ต เสร็จแล้วก็ยกกระเป๋าวางบนสายพาน ประตูในช่องจะเปิดขึ้น คำนวนน้ำหนักเสร็จแล้วเราก็โอเค ปริ้นใบเสร็จสัมภาระอีกรอบ เอาไว้เป็นหลักฐานกันกระเป๋าเราหาย เสร็จแล้วก็ทำแบบเดิมอีกใบนึง แต่ในใบเสร็จใบที่2 น้ำหนักจะเป็นน้ำหนักที่รวมกับใบแรกไว้แล้ว


ต่อไปเราก็มาเช็ค เกตที่เราจะต้องไปขึ้น จากหน้าจอ  ผมก็ผ่านเข้าตม.ก่อน  ระหว่างที่ผ่านตม.ของเหลวต้องเททิ้งทุกอย่าง คราวนี้ผมลืมน้ำดื่มอยู่ในกระเป๋า 5555  เจ้าหน้าที่เรียกผมมาเรยครับ

อธิบายว่า เราต้องทำการเทน้ำของท่านทิ้งนะครับ อะไรประมาณนี้ ให้เราหยิบน้ำออกมา
คือเค้าจะไม่เปิดกระเป๋าเรา ให้เราเป็นคนเปิดแล้วเอาน้ำไปให้เค้า เค้าเททิ้งเสร็จเค้าจะคืนขวดเปล่าให้เรามา  เราสามารถไปกรอกน้ำเย็นฟรีด้านในได้
ห้องน้ำสุดหรู



ที่นี่แยกห้องน้ำสำหรับคนที่ต้องเลี้ยงเด็กไว้ด้วย

ก๊อกสำหรับดื่มน้ำฟรี และน้ำร้อน น้ำเย็น ไว้เติมใส่ขวด ที่ตม.แม่งเพิ่งเทของเราไป 555555


ราคาอาหารที่นี่ไม่ได้แพงเวอร์เหมือน สุวรรณภูมิบ้านเรานะครับ

ห้องดูดบุหรี่ โดยเฉพาะ
 ที่นี่มีห้องสูบบุหรี่ โดยเฉพาะ กลิ่นไม่ออกมาข้างนอกแน่นอน หรูมากๆ มีแกลลอรีในสนามบินให้เดินดูฟรีอีก
แกลลอรี





ซุ้มดอกไม้ ไว้ถ่ายรูป

โซนพักผ่อน
 ที่นี่มีโซนพักผ่อน หรือว่าเตียงนอน โซฟานอนให้ฟรีด้วยนะ

มีคอมให้ใช้อินเตอร์เน็ต และทีวีให้ดู ฟรี


มีไวไฟ สนามบินฟรีๆเลย ทั่วสนามบิน หรือจะใช้อินเตอร์เน็ตจากคอมพิวเตอร์ ที่ตั้งไว้ให้ทั่วสนามบินฟรีๆก็ได้


เบอเกอร์คิงส์ ที่นี่ไม่ไชแพงเวอร์ เหมือนสนามบินที่กรุงเทพนะ

 ที่นั่งรอแทบทุกที่ในสนามบิน มีที่ชาจหมด ไม่ต้องกลัวเรื่องแบตหมดเลย
มีบอกเวลาเดินไปเกตด้วย ใส่ใจสุดๆ


เบื่อๆก็มานั่งดูบอล หรือจะดูซีรีส์ หรือจะดูอะไรก็เดินดูเอา ในสนามบินนี้คุณอยู่ทั้งวันก็ไม่เบื่อแน่นอน

นั่งเล่นชิลๆ ไป
 เสียงจากจอทีวี ต้องคนที่นั่งเก้าอี้เท่านั้นถึงจะได้ยิน เพราะมันออกมาจากต้นเสา คือไม่รบกวนคนภายนอก และเสียงจาากภายนอกก็ไม่รบกวนเวลาเราดูบอลเช่นเดียวกัน 555 ดีอ่ะ


พอได้เวลาบอร์ดดิ้ง ก็เตรียมตัวขึ้นเครื่อง แล้วก็ประจำที่ กลับสู่บ้านของเรา


มีประโยคนึงที่ผมชอบมากคือ ตอนที่แอร์โฮสเตสพูดว่า "ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ประเทศไทยและขอเชิญพี่น้องชาวไทยกลับบ้านของเรา" มันคือคำพูดที่แบบให้รู้นะว่า ตอนนี้เรากำลังจะถึงบ้านแล้ว

ผมว่านะ ต่อให้ประเทศของเราจะสู้ประเทศอื่นไม่ได้ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เชื่อเถอะว่า
ไม่ว่าคุณอยู่ที่ประเทศอะไร คุณไม่อุ่นใจเท่าอยู่ประเทศของเราเองหรอก  อาจจะมีปัญหาที่ขัดแย้งกันในประเทศบ้าง แต่ผมก็คิดว่าประเทศไทย ก็คือประเทศที่อยู่แล้วเราสบายใจ เราปลอดภัยที่สุด
ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันอาจจะไม่ใช่ก็ตาม 555555 มันกะลังจะดีอยู่แล้วเชียวววว แหม่

ขอต้อนรับกลับสู่ประเทศไทย ด้วยพี่เมล์ the fast ของเรา
และเมื่อมาถึงประเทศไทย  ผมก็ต้องถูกต้อนรับด้วยรถเมล์ อันเลื่องชื่อของประเทศเรา
the fast ของเรา  ไม่ว่าคุณจะผู้ดี ไม่ว่าคุณจะคุณหนูขนาดไหน ไม่ว่าคุณจะมาจากประเทศอะไร พี่เมล์ของเราก็ไม่เคยยกเว้น  ไม่เคยผ่อนปรนให้กับใครหน้าไหนทั้งนั้น
พวกเค้าพร้อมที่จะพาพวกคุณออกไปตะลุยสู่โลกใบใหม่ โลกที่มีชื่อว่า กรุงเทพมหานครนั่นเอง 555555

แค่กุพยายามจะถ่ายรูป  ยังถ่ายไม่ชัดอ่ะ คิดดู  โอ้โห จะรีบไปไหนของมันวะนั่น 55555555555

ขอบคุณทุกคนที่อ่านบทความนี้ จนจบนะ   คนที่อ่านไม่จบก็ไม่เปนไร เข้าใจ
คนไทยอ่านหนังสือ 2 บรรทัดอยู่แล้ว   ต่อให้ไม่มีใครอ่าน แต่ผมเองก็อยากเล่าประสบการณ์
เอามาบอกต่ออยู่ดี  แล้วเจอกันใหม่ ทริปหน้าาาาน๊าาา.


Popular Posts

Facebook