บันทึกการเดินทาง 790 KM เส้นทางเชียงใหม่-ปาย-เชียงราย
สวัสดีครับ เพื่อนๆ วันนี้ เราจะมาบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางอีกเช่นเคย
ครั้งนี้เราจะไปไกลกันถึงแม่ฮ่องสอน ในวันหยุดปลายปี 2018
แล้วเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในปี 2019
โดยทริปนี้ของเรา เป็นการเดินทาง แบบ 6 วันเต็มๆ ไม่มีขาด
โดยเราเริ่มจาก เย็น วันที่ 28 ไปจนถึง เช้าของวันที่ 4 กันเรยทีเดียวววว
บันทึกความทรงจำ ณ วันที่ 28 ธ.ค 2018 - 4 ม.ค. 2019
เชียงใหม่ - แม่ฮ่องสอน - เชียงราย
เราไปเริ่มกันเลยดีกว่าาา
let's go
กระเพราหมูสับที่หมอชิต |
เราเริ่มต้นทริปกันด้วย การออกเดินทางประมาณ บ่าย3โมง ของวันที่ 28 เพื่อที่จะหนีจากการที่ผู้คนเมืองกรุงจะแห่กันมาหมอชิต ผมเรยขอไปก่อนนน สรุป ผมไปถึงหมอชิต ประมาณ 5 โมงเย็น เกือบๆ 6 โมง
ทำไงดีล่ะทีนี้ รถออกตั้ง 2 ทุ่ม ก็เลยไปหาร้านนั่งกินข้าว จิบเบียร์ ไปฆ่าเวลา
รสชาติ เอาตามตรงคือ ผัดไม่เป็นนี่หว่าาา เห้อ เสียดายเงงินนนน ช่างมัน จะเที่ยวแล้ว
อย่าไปคิดไรมาก
พอได้เวลาซักทุ่มนึง เราก็ออกไปรอที่ ชานชาลา รถออกช้ากว่าเวลานิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร
เพราะวันนี้ คนกลับเยอะจริงๆ แต่ที่แปลกคือ ที่นั่งข้างผม ไม่มีใครมานั่งเรยยย จาก
กทม. จนถึง เชียงใหม่ แต่ที่นั่งอื่นเต็มหมดเรยยย
เช้าวันที่ 29
เราก็มากันถึงเชียงใหม่ เวลาประมาณ9โมง ซึ่งช้ากว่าตั๋วอีกเช่นเคย แพลนวันนี้คือ
เอาของขวัญที่จะให้น้องสาว เอาไปฝากเพื่อนก่อน แล้วก็ไปปายกันน
แต่อันดับแรกเราต้องมีรถก่อน นี่แหละที่เป็นปัญหา ผมก็เดินไปที่ร้านไบกี้ ปรากฎว่ารถหมด
มีคนเช่าออกไปหมดเรย แล้วยังมีคนนั่งรออีกเพียบ ไปร้านไหนรถก็หมด ผมจึงเดินกลับไปร้านเดิม
ร้านที่เคยเช่า แต่ร้านนี้ ต้องวางมัดจำ 1 พัน และราคาแพงกว่าไบกี้ 50 บาท แต่ด้วยเราเช่าหลายวัน
จึงขอลดราคาได้มั๊ย สรุปพี่เค้า ให้ลดได้วันละ 50 บาท เท่ากับ ไบกี้เรย แค่นี้ก็ได้รถออกมาชิวๆ
โดยเราเช่าคลิ๊ก 125 เหมือนเดิม จร้า
หลังจากได้รถแล้ว เราก็บึ่งไปหาเพื่อนที่รออยู่แล้ว ที่แถวๆประตูท่าแพ ไปหาก็พากันออกไปกิน
โจ๊กสมเพชรกัน ซึ่งร้านนี้ ถือเป็นร้านอาหารเช้าเจ้าดังของเชียงใหม่ เปิดตลอด 24 ชม.
ราคาก็ไม่แพงมากเท่าไหร่ จากนั้นก็นั่งคุยกันตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน จากนั้นก็แยกย้าย
เพราะเราจะไปต่อ ไปปายกันวันนี้เรยยยย แต่ผมไปคนเดียวนะครับ 555
เอาล่ะ บรรทุกสัมภาระ พร้อมฝากของไว้ที่บ้านเพื่อน แล้วก็ลุยเรยย
โดยเราจะไปอุทยานแห่งชาติ น้ำตกบัวตองน้ำพุเจ็ดสีก่อน ซึ่งอยู่ตรงแถวๆ
ปากทางเข้าสู่ทางขึ้นปายย ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
ระยะทางประมาณ 50 กม. ก็มาถึง แต่ก็มาพร้อมๆกับฝนที่มันกำลังจะตก
ที่นี่ยังไม่เก็บค่าธรรมเนียมนะครับ ก็เรยได้เข้ามาเที่ยวกันแบบ ฟรีๆ
หลังจากนั้น ก็เดินไปดู น้ำตกบัวตองกันน มีวิวหมอกแบบฟินๆ ให้ดูกันเพลินๆด้วยอ่ะ
หลังจากดูน้ำตกได้ไม่นาน ต้องเรียกว่าลำธารดีกว่า เพราะน้ำค่อนข้างน้อย
ฝนก็เหมือนจะไล่หลังเรามาแล้ว ก็เรยรีบไปดูน้ำพุเจ็ดสีกันดีกว่า
เราก็เดินเข้ามา ไม่ไกลมาก เดินตามป้ายยเข้ามาในป่า แล้วก็มาเจอแอ่งน้ำอยู่แอ่งนึง
ตอนแรกคิดว่าไม่ใช่ เลยพยายามหาทางไปต่อ แต่ป้ายก็อยู่ตรงนี้นี่นา ก็เราลองเดินเข้ามาใกล้ๆ
ก็เป็นเหมือนน้ำสีฟ้าใสมรกต สวยจริง แต่มันมีฟองอากาศผุดขึ้นมาจากกลางบ่อด้วยนี่สิ
มหัศจรรย์ เอาเป็นว่าสวย ห้ามลงไปในบ่อโดยเด็ดขาด
หลังจากที่กำลังยืนดูบ่ออยู่นั้น ฝนก็เทลงมา โดยที่ตรงนั้น มีแค่ต้นไม้ให้หลบฝน
จะบ้าหหรออ ต้นไม้จะไปหลบฝนได้ไงเล่าา ก็เรยต้องวิ่งสิครับ วิ่งกลับ
วิ่ง วิ่ง วิ่ง แบบ พี่ตูน ตกแบบหนักมาก เหมือนไม่เคยตก นี่มันหน้าหนาวนะเว้ยยย
ควักเสื้อกันฝน ที่ย่าของเพื่อนได้ฝากไว้ให้มาใส่ ถ้ารอฝนหยุดไม่ได้ไปไหนแน่ๆ
เราก็เรยต้องใส่เสื้อกันฝน แล้วก็ลุยแม่งไปเรยย ชีวิตมันต้องลุย
โดยที่เราจะไปอุทยานแห่งชาติศรีลานนา ที่อยู่ใกล้ๆ อีกที่ ก่อนจะขึ้นปาย
ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว ต้องทำเวลาแล้วล่ะ อุทยานแห่งชาติศรีลานนา
ก็จะมีเขื่อนแม่งัด อยู่ตรงอุทยานเลยย เราก็เดินขึ้นไปบนเขื่อน
วิวดีมาก คล้ายๆกับ อ่างเก็บน้ำบางพระที่ชลบุรี สวยดี มองออกไปเห็นทิวเขา
สลับซับซ้อน ข้างหน้าก็เป็นแม่น้ำ มันช่างวิเศษ ยิ่งนัก กับการใช้ชีวิต
ใช้เวลาให้หมดไป กับวิวแบบนี้
ดูนาฬิกาที่ข้อมือ โอ้ แม่เจ้า บ่าย2 ละ ต้องรีบไปละ หนทางอีกยาวไกลเรยยย
อีกเป็นร้อยกิโล เพื่อขึ้นไปให้ถึงปายในคืนนี้ เราก็บึ่งมอไซค์ไป พอเริ่มเข้าแยกขึ้นปาย
ก็เริ่มเป็นทางสวนกัน แล้วก็เริ่มมีโค้งนิดๆบ้างละ พอขับไปเรื่อยๆ จะรู้สึกว่ามันเริ่มขึ้นเขา
พร้อมกับมีโค้งไปด้วย แรกๆทำให้ผม ขับอย่างเมามันส์ ขับแบบบ้าระห่ำ
โค้งแล้ว โค้งเล่า ก็ยังไม่ถึง มองดูหน้าปัดกิโลเมตรตลอด มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก
เมื่อยตูดมากๆตอนนั้น แต่ทำไงได้ขับมาไกลแล้ว รู้ตัวอีกทีผ่านครึ่งทางมาแล้วว
อีกครึ่งทางนี่คือ 40 กว่า กิโลเรยนะ แม่งเอ๊ยยยยย ลุยยย
ก็พยายามบิดไปเรื่อยๆ หนาวก็หนาว นี่แหละประสบการณ์ใหม่ๆ ที่หาจากที่ไหนไม่ได้
แต่ท้อสุดดคือ 20 โลสุดท้าย คือแบบ แม่งไกลมาก อะไรจะไกลขนาดนี้ 555
ไม่ถึงซักที และในที่สุด เราก็ทำสำเร็จ ขึ้นมาถึงสะพานประวัติศาสตร์ปาย
เป็นช่วงเวลา 5 โมงเย็น พักรถพักคน ลงไปถ่ายรูปกัน ผมมานี่ไม่ได้หาข้อมูลอะไรไว้เรย
เจออะไรก่อนก็แวะอันนั้นแหละ มันอยู่ข้างทางพอดี 555+
หลังจากลงไปถ่ายรูป ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้สักพัก เราก็ไปกันต่อ ไปสู่ตัวเมืองปายยกัน
พอออกจากสะพานได้ไม่นาาน ก็เจอกองแลน อยู่ข้างทาง หรือ เรียกว่าปายแคนยอนนั่นเอง
ทำให้เราต้องจอดแล้วก็รีบเดินเข้าไปด้านใน เผื่อจะได้เห็นพระอาทิตย์ตก
ผมหวังไว้แบบนั้น ก็ไม่รู้ว่าฝันจะเป็นจริงมั๊ย คว้ากล้องแล้วก็วิ่งไปด้านใน
พอมาถึง มันก็เป็นกองดิน สูงอยู่นะ ตกลงไปก็เจ็บแหละ 555
ที่นี่อากาศดี วิวปลอดโปร่งมาก ต้องลองมาให้ได้ซักครั้งในชีวิต
มองออกไปก็จะเห็นวิวทิวเขาสลับซับซ้อนกันไปหมด วันนี้ไม่มีพระอาทิตย์ เนื่องจากเมฆบังจนหมด
ทำให้เราก็ต้องกินแห้วไปตามระเบียบ แต่ก็ได้ชมวิวที่เราตั้งใจมาเห็นแค่นี้ก็ดีใจแล้ววว
คราวนี้ ดูเสร็จแล้วเราก็ไปกันต่อ โดยเราไปที่ตัวเมืองปายนี่แหละ ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็นแล้ว
ผมหิวมากเรยย ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเรยอ่ะ อยากหาไรร้อนๆกินซะหน่อยยย
ขอเอาของไปเช็คอินที่พักแล้วก็ อาบน้ำให้ชื่นใจ แล้วค่อยออกมาหาไรกินที่ถนนคนเดินกัน
แหม่ ชีวิตดีจริง มาถึงที่พัก ก็เช็คอิน โดยที่พักคืนนี้ ราคาเพียง 100 บาทเท่านั้น
ราคาถูกมาก ที่พักมีชื่อว่า lazy pai hostel เป็นการนอนรวมกับฝรั่ง แบบกางมุ้ง
ในบ้านสังกะสี ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม โคตรได้ฟิลอ่ะ หลังจากนั้นเข้ามาอาบน้ำอาบท่า
แล้วก็ออกไปลุยถนนคนเดินกันต่อ
โดยเราจอดรถไว้หน้าเซเว่นแล้วเดินไป 555 กลัวรถหายย
บรรยากาศถนนคนเดินปาย คล้ายๆที่เชียงคานเรย แต่ที่นี่ฝรั่งจะเยอะกว่า
ก็อากาศเย็นๆ เดินเพลินๆ มีเพลงของปายเองด้วยจากนักดนตรีอิสระ โคตรเจ๋งอ่ะ
ตอนนี้ผมต้องหาอะไรกินแล้วล่ะ เพราะหิวมากๆ
ก็ไปเจอร้านหม่าล่า คนซื้อกันเยอะมากที่นี่ขายน้ำซอสแล้วก็ผงหม่าล่าด้วยนะ
ขวดละ50 ใครมาก็ลองมาหาซื้อกันได้นะ ส่วนผมนั้นจัดไป4ไม้ รอ 15 นาที
ที่นี่ยังมีรองเท้าแตะที่ออกแบบได้เองด้วยนะ โคตรเฟี๊ยวอ่ะ
จากนั้นเราก็เดินมาจนสุดซอย จนหาร้านอาหารก็ยังไม่ได้ ก็เรยตัดสินใจเอาร้านที่อยู่ตรงไฟแดง
นี่แหละ เพราะเห็นคนจีนในร้านสั่งผัดไท มากิน น่ากินมาก แถมได้เยอะมาก เราก็เรย
ลองเปิดดูเมนูที่วางอยู่หน้าร้านดู ปรากฏว่าราคาไม่แพงเรย
ก็เรยเดินเข้าไปสั่ง พร้อมกับชานม 1 แก้ว วันนี้ขอโน แอลกอฮอล วันนึง
ก็อย่างที่เห็น คือ ได้เยอะมาก จานใหญ่มากๆ ราคาแค่ 50 บาทเอง ได้เยอะ ที่สำคัญอร่อยด้วย
มื้อนี้หมดไป 75 บาท ไม่แพงๆ อิ่มท้อง กลับห้องไปนอนกันดีกว่า เหนื่อยมาทั้งวันละ
ใช้ชีวิตให้มันคุ้มๆหน่อยกลับไปนอนเอาแรง ค่อยเริ่มใหม่ในวันพรุ่งนี้
เพราะพรุ่งนี้ ต้องขับลงปายกลับเชียงใหม่ ในวันรุ่งขึ้น แล้วเจอกันใหม่
วันรุ่งขึ้นนครับผมม
30.12.2018
ตื่นเช้ามา โคตรหนาวเลย ตอนนั้น เป็นเวลาเกือบๆ 6 โมง ฟ้ายังมืดสนิท ยังไม่มีใครตื่น
ผมรีบตื่นขึ้นมาทำธุระส่วนตัว แล้วก็ล้างหน้าแปรงฟัน เวลา 6 โมงครึ่ง ก็ได้เวลาออก
ไปเที่ยว เรารีบไปที่ทะเลหมอนหยุดไหล เป็นจุดแรก ระยะทางประมาณ 6 ก.ม
ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือ ลมหนาวที่แม่งกระแทกเข้ามานี่แหละ แม่เจ้าาาา
หนาวเหี้ยๆ สะใจ แล้วก็ลุยไปบนท้องถนนที่ขรุขระ เราจะผ่านบ้านชุมชนจีนก่อน
แล้วให้ตรงเข้าไป ขึ้นเขา นิดหน่อยไม่ชันมาก ก็เป้นอันถึง
ที่จอดรถฟรี เดินเข้าไป จะต้องเสียค่าบัตรบำรุงสถานที่อีก 20 บาท เข้ามาก็จะเป็นร้านผมรีบตื่นขึ้นมาทำธุระส่วนตัว แล้วก็ล้างหน้าแปรงฟัน เวลา 6 โมงครึ่ง ก็ได้เวลาออก
ไปเที่ยว เรารีบไปที่ทะเลหมอนหยุดไหล เป็นจุดแรก ระยะทางประมาณ 6 ก.ม
ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือ ลมหนาวที่แม่งกระแทกเข้ามานี่แหละ แม่เจ้าาาา
หนาวเหี้ยๆ สะใจ แล้วก็ลุยไปบนท้องถนนที่ขรุขระ เราจะผ่านบ้านชุมชนจีนก่อน
แล้วให้ตรงเข้าไป ขึ้นเขา นิดหน่อยไม่ชันมาก ก็เป้นอันถึง
ขายของขายอาหาร กางเตนท์ บ้านพัก จุดถ่ายรูป
ตอนนี้ ฝนก็ตกปรอยๆ เราเลยรีบจัดการถ่ายรูป เสพวิวที่อยู่ตรงหน้า
เห็นฟ้าที่มืดครึ้มตรงนั้นมั๊ย นั่นคือ ฝนที่กำลังไล่เรามาแล้วววว
ไม่ทันที่จะได้ทำอะไร ฝนก็เทลงมาจิงๆ อะไรวะ 5555 หน้าหนาวววนะเนี่ย
ทุกคนเข้าไปอัดกันอยู่ในซุ้ม หลบฝนกันหมด ป้ายที่ทุกคนต่อคิวกันถ่ายรูป
บัดนี้ ว่างเปล่าาาา ทุกคนได้แต่ยืนมอง เพราะฝนตกหนักจริง
พอฝนหยุด เท่านั้น ก็พากันเฮ ออกมาถ่ายรูปกัน ต่อคิวกันเหมือนเดิม 555
เราก็เดินไปดูว่าเค้าขายอะไรกันบ้าง มันเป็นยำเส้นไรไม่รุ ดูน่ากินดี
แต่แพงไปหน่อย เรยยังไม่กิน เพราะยังไม่หิวด้วย ก็เลยว่าจะกลับไปที่ชุมชนจีนดีกว่า
พอเดินออกมาข้างนอก ที่จอดรถ วิวก็อย่างที่เห็น
จากนั้นขับลงไปนิดเดียวก็ถึงชุมชนจีน แต่ผมไม่ได้ลงไป เพราะว่า มันเป็นเหมือนร้านอาหารจีนยูนนาน
ไม่มีอะไร นอกจาก บ้านเมืองที่เป็นแบบจีน ก็เรยไม่ค่อยอินเท่าไหร่
ก็เรยออกไปที่วัดน้ำฮูต่อ ดีกว่า
แล้วเราก็มาถึงวัดน้ำฮู ซึ่งแต่ละจุด อยู่เส้นทางเดียวกัน ก็เรยแวะเป็นจุดๆได้เรย
จากนั้นดูนาฬิกา 8 โมงละ ไปกินข้าวในตัวเมืองกันดีกว่า ผมเลือกที่จะไปกินร้านเดิม
กับเมื่อคืน เพราะน่าจะมีอาหาารเช้าขาย แล้วก็ถูกด้วย
แต่พอไปถึงอยากกินข้าวผัดหมูขึ้นมาซะงั้น ก็เลยสั่งมา1 ที่
เห็นแบบนี้ ได้โคตรเยอะเรย แล้วก็อร่อยมากด้วยยยย ชื่อร้านนผมจำไม่ได้
น้องพร หรือน้องอะไรสักอย่าง อยู่ตรงไฟแดง ใกล้ๆเซเว่น 5555
หิวเนาะ เรยไม่ได้ถ่ายอะไรไว้เรย แต่อร่อยจริง แนะนำร้านนี้
มื้อนี้ 50 บาท ครับผม แต่อิ่มจนจุก
จากนั้น เราไปวัดที่อยู่บนยอดเขากันดีกว่า
วัดที่เราไปชื่อ ว่า วัดพระธาตุแม่เย็น ตอนแรกหลง ไปไหนก็ไม่รุ เกือบได้ไปแม่ฮ่องสอนแล้ว
ดีนะเอะใจก่อนเรยวนกลับมาจนเจอ ก็เดินขึ้นบันได เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ฝรั่งผู้ชายที่ใส่ขาสั้นมา เค้าจะมีผ้าถุงให้ใส่ ฝรั่งดูสนุกกันใหญ่ 555
ขึ้นมาก็จะเห็นวิวเมืองปายประมาณนี้
ตอนนี้เราต้องกลับไปเก็บของเช็คเอาท์ท์ี่พักแล้วล่ะ วันนี้เราต้องกลับเชียงใหม่กันอีก
จากวัดไม่ได้ไกลจากที่พัก ขับรถ 5 นาทีถึง
จากนั้นรีบเข้าไปเก็บของ เห็นฝรั่งเตียงบน กะลังลงมาเจอเราพอดี
ก็เรยทักมาว่าเราไปถ่ายรูปมาหรอ ไปเที่ยวไหนมมาบ้าง เราก็บอกว่าไปวัดที่อยู่บนเนินเขาน่ะ
เค้าก็ถามว่าไกลมั๊ย เราบอกไม่ไกล ประมาณ 1 กม. เค้าก็บอก nice แล้วก็หยิบส้มให้เราลูกนึง
5555+ เออมีน้ำใจดีว่ะ ตอนแรกกะจะไม่เอา ไหนๆก็มีน้ำใจแล้ว ก็เรยหยิบมา
แพ็คของเสด ออกมาจากที่พัก ก็มายืนคุยกะเจ้าของที่พัก อีกครึ่ง ชม.
เจ้าของก็เป็นกันเอง ที่พักก็แสนถูก ใครไปอย่าลืมไปแวะพักกันนะ
ก็ได้เวลาไปลุยกันต่อ เติมน้ำมัน ถามทาง ดูป้ายไปเรื่อย มันส์ไปอีกแบบ
เราจะไปน้ำตกแพมบกกัน ก็ต้องเข้าป่ากันหน่อยละ ทางที่เข้า ก็ลัดเลาะป่า
ลัดเลาะหมู่บ้านเข้ามา
จนถึงที่จอดรถ จอดรถเอาสัมภาระวางไว้แล้วแบกขาตั้งกล้องเดินเข้าไป ไม่ไกล ก็จะเห็นตัวน้ำตก
แต่ก็เดินยากซักหน่อย แต่เชื่อมั๊ยว่าไม่มีใครเรยในนั้น วิวก็แบบอลังการ สวยมากอ่ะ
เราก็เลยได้รูปออกมาในแบบที่ไม่ติดใครเรย 5555
ถ่ายเสร็จจนหนำใจแล้ว เราก็กะลังเดินออก ก็เจอครอบครัวไทยกลุ่มนึง เดินมา
พ่อ แม่ ลูก 2 คน เค้าถามเดินยากมั๊ย เราบอกไม่ยากๆให้เหยียบตรงนี้ ส่วนเด็กอาจลำบากนิดนึง
จากนั้น เค้าก็ขอให้เราถ่ายรูปให้ ก็น่ารักดี เป็นครอบครัว ดูผจญภัยดี
เราก็รีบออกมาแล้วไปกันต่อ ขึ้นเขาไปอีกนิด ก็จะเจอสะพานบุญโข กู้โส่
ที่จะมีวิวทุ่งนา แล้วมีพระมาเดินบิณฑบาต ที่เคยเห็นตามโซเชียล
แต่พอไปถึงก็อย่างที่เห็น เหลืองมากเรยยยยย ดูแห้งๆ 555 แล้วกก็มีพร๊อพไว้ให้ถ่ายรูป
ซึ่งผมก็ไม่ค่อยอิน อีกอยู่ดี แถม ถ้าจะเข้าต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วย
ผมก็เรยไม่เข้า มาถ่ายเก็บบรรยากาศพอ
ได้เวลาก็กลับเรยครับ แต่ต้องบอกเลยว่าทางแม่งงเป็นหลุม เป็นบ่อมากๆ 555
ก็เลยลุยๆ ผสมฝุ่นกันไป แล้วนาฬิกาผมก็ขาดจากข้อมือ คิดดูว่ารุนแรงขนาดไหน
ได้เวลากลับเชียงใหม่กันแล้ว แต่ก็หาแวะไปเรื่อย ทั้งโป่งน้ำร้อนท่าปาย
แล้วก็อุทยานห้วยน้ำดัง แต่ไม่ได้เข้าข้างในนะ เพราะไม่มีเวลามาก ขับไปก็ท้อไป
เพราะทางมันไกลมาก 90 กว่ากิโล กว่าจะหลุดจากทางโค้งเหล่านี้
ก่อนที่จะถึงทางแยกไปเชียงใหม่ 10 กม. เราแวะกันที่น้ำตกตาดหมอกฟ้า ซึ่งเป็นเขต
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เราก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย 20 บาท เป็นค่าบำรุง
แต่คุ้มมากเพราะน้ำตกด้านในโคตรสวย แล้วก็มีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่ข้างในด้วย
กลัวนักท่องเที่ยวเป็นอันตราย เนื่องจากน้ำไหลแรงมากก
รีบถ่ายรูป บันทึกความทรงจำซะหน่อยก่อนจะกลับ
จากนั้น ก็ได้เวลากลับเชียงใหม่จริงๆละ อีกเกือบ 60 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ครึ่ง
เรามาถึงโฮสเทลที่ชื่อว่า full stop เรานอนที่นี่ คืนละ 150 บาทเอง ถูกมาก
ที่นอนดี แอร์เย็นฉ่ำ ผ้าห่มอุ่นดี มาถึงก็รีบอาบน้ำ ชาตแบต แล้วจะรีบออกไปถนนคนเดิน
เชียงใหม่กันเถอะ ออกไปหาเพื่อน ที่นัดกันไว้เมื่อวาน จิบเบียร์เย็นๆที่ถนนคนเดิน
หลังจากเดินถนนตนเดินสักพัก จะหาร้าานไปปนั่งจิบ ต้องบอกก่อนว่า คนเยอะมาก
ใช้เวลาเดิน 1 ชม. มาถึงตรงที่ขายอาหาร เลยแวะเข้าไปกินก๋วยจั๊บสักถ้วยก่อน
เพราะไม่ได้กินข้าวกลางวันมาเรย ตั้งแต่ปาย กินเสร็จ ก็จะเดินไปร้านประจำ
คือ Moon pie แต่มันเบียดกันมาก เดินกว่าจะได้แต่ละก้าวแม่งเอ๊ยยย
พอดินจนจะถึง หม้อแปลงระเบิด ไฟดับไปแถบนึง รวมถึงร้านที่กุจะไปนั่งด้วย
พอไปถึงร้านเค้าบอกว่ายังสั่งไม่ได้นะคะ ไฟดับอยุ่ เราก็เรยต้องออกมา
กินเบียร์ตรงร้านที่เค้าขายก๋วยเตี๋ยวด้วยแล้วก็ขายเบียร์ด้วย แหม่ ฟินไปอีก
จากนั้นนึกขึ้นได้ ว่ามีด่านป่าววะ เพราะโรงแรมอยุ่โคตรไกลเรย ก็เรยไม่อยากกินเยอะ
กะว่าวันนี้ขอเซอเวย์ก่อน ถ้าไม่มี พรุ่งนี้กุจะจัดเต็ม ก็เรยขอแยกกะเพื่อน
แล้วไว้เจอกันตอนเย็นในวันพรุ่งนี้นะเพื่อน ไปล่ะ ฝันดีครับผม
31.12.2018
วันนี้ตื่นขึ้นมาตั้งใจว่าจะไปแจ้ซ้อน แต่ดูอากาศแล้วไม่ไหวแน่ มันหนาวเย็นมาก
ขืนไป ป่วยรับปีใหม่คงจะไม่สนุกแน่ นอนเล่นไปสักพัก ลุกไปอาบน้ำ ออกไปหาข้าวกินดีกว่า
เชียงใหม่จะมีร้านหลัง มช. มีร้านอาหารตามสั่ง ราคาถูกอยู่หลายร้าน
ส่วนร้านนี้ที่เห็นคือ ไข่ดาวฟรี แต่ทำ ไม่ค่อยอร่อยเหมือนครั้งที่แล้ว ราคา 40 บาท
เชียงใหม่จะมีร้านหลัง มช. มีร้านอาหารตามสั่ง ราคาถูกอยู่หลายร้าน
ส่วนร้านนี้ที่เห็นคือ ไข่ดาวฟรี แต่ทำ ไม่ค่อยอร่อยเหมือนครั้งที่แล้ว ราคา 40 บาท
หลังจากที่กินเสร็จ ก็ได้เวลาลุย ว่าจะไปดอยสุเทพ แต่พอไปถึงตรงตีนดอย
เลี้ยวเข้าน้ำตกห้วยแก้วเฉย คือมาหลายรอบแล้ว ไม่เคยได้แวะสักที รอบนี้เลย
เข้าไปสำรวจซักหน่อย
ที่นี่มีทางเดินศึกษาธรรมชาติด้วย จะรอไรล่ะ ไปสิ เดินไปถึงน้ำตกวังบัวบาน
และผาเงิบได้เรยนะ ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีคนไทยไปเท่าไหร่ มีแต่ฝรั่งที่มาเดิน
และเราก็เปนคนไทย 1 ในนั้น
จากน้ำตกห้วยแก้ว ก็เดินลัดเลาะไปตามป่าตามเขา ลัดเลาะไปเรื่อยๆบวกเดินขึ้นเขา
ก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ไม่ได้พกขวดน้ำเปล่ามาเรยแฮะ 55
ต้องเดินเข้าไปต่ออีก ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงจนได้
แต่มันลื่นมากๆเรย เห็นแบบนี้ ผมใส่รองเท้าเดินป่า ยังเกาะไม่อยู่เรย
ขากลับ ผมจะกลับไปอีกทาง จะลัดเลาะน้ำตกไป แต่ก็มีฝรั่ง ชาวอเมริกา
เตือนผมว่า อย่าไปทางนั้น มันลื่นมาก ผมก็เรยกลับทางเดิม แล้วเขาก็ยังเดิน
มาช่วยเราอีก แหม่ การเเดินทางนี่ พบน้ำใจได้จาก2ข้างทางจริงๆ
จากน้ั้นเราไปปต่อ แต่เขาเดินกลับ ก็เรยบายกันแค่นี้ เราก็นึกขึ้นได้ว่า เรามีอีกที่ต้องไปต่อ
นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติ ออบขาน ห่างจากดอยสุเทพ เกือบ 30 โล
จะรอไรล่ะ ลุยสิ
ต้องบอกก่อนว่า ทางมาอุทยาน คือมาทางเดียวกับแกรนแคนยอน เชียงใหม่
ผ่านหน้าแกรนเรยล่ะ แถวนั้นเรียกว่าหางดง แต่ต้องขับจากจุดนั้นไปต่อ อีก
10 กว่ากิโล แล้วทาง คือ ธรรมชาติมาก นานๆจะมีรถสวนมาสักคัน ทะลุป่าเข้ามา
ผมจอดฟังเสียงนกป่าร้องอยู่สักพักนึง แม่งโคตรธรรมชาติอ่ะ ยิ่งตอนใกล้ถึงนี่
วิวภูเขาสวยมาก ต้อองลองไปเอง บรรยายยังไงก็ไม่เหมือนไปเอง
และในที่สุดเราก็มาจนถึง
ที่นี่ไม่เสียค่าธรรมเนียมอีกเช่นเคย เอาล่ะ ได้เวลาไปดูซิว่าในอุทยานมีไรเที่ยว
เอาจริงๆ คือ ไม่ได้หาข้อมูลอะไรมาเรยว่าในนี้มีอะไรบ้าง แต่พอมาถึงก็ต้องว้าวสัสๆ
เพราะตรงผาอกม้านี่ คือ แม่งสวยมาก อย่างกะอเมริกาเรยยย
ต้องลองมาเห็นเอง น้ำแม่งเชี่ยวมาก
หลังจากตั้งกล้องถ่ายรูปเสร็จสรรพ ก็เดินเข้าไปกันต่อ มันเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ
ที่สวยมากสำหรับที่นี่ ก็จะเห็นธรรมชาติที่หลบซ่อนอยู่ภายใน สวยมาก
แล้วสุดท้ายก็ไปเจอจุด ถ่ายรูปที่สุดเหมาะเจาะ เห็นก้อนหินกลางแม่น้ำ
ที่กำลังไหลเชี่ยวนั้นมั๊ย นั่นแหละ ผมตั้งกล้อง แล้วใช้รีโมตกดเอา
แล้วผมก็จะไปยืนอยู่ตรงนั้นแบบคูลๆ นี่คือการทดสอบหน้ากล้องว่าโอเคร
โฟกัสโอเคร ใช้โทรศัพท์ถ่ายนะ 555 ไปดูกันเรยย
กลัวรองเท้าเปียกก็เรยถอด แต่จะบอกว่าแม่งไม่มีประโยชน์เรยยย
แลแล้ว ก็ทำสำเร็จ ได้ไปนั่งตรงจุดที่วางไว้ แต่เดชะบุญ ดันลื่นจร้า
เอามือข้างที่ถือชัตเตอร์ไปค้ำ ทำให้มันกระเด็นลงน้ำ พอก้าวขาไปเก็บ นึกว่าจะทัน
ไม่ทันซะแล้ว รองเท้าตรูเปียกตามไปอีกคู่ รองเท้าก็เปียก ชัตเตอร์ก็หล่น
อภิมหาซวย คงไม่ได้ถ่ายรูปแบบคูลๆ แล้วสินะ แย่ๆ
ไม่มีอารมณืเดินไปไหนละตอนนั้น เรยกลับเรยดีกว่า 5555
ตอนแรกว่าจะแวะแกรนแคนยอน ไม่แวะแล้วเหมือนกัน กลับเรยย 555
ตอนนี้ กลับไปหาไรกินดีกว่า ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเรยย
แถวๆที่พักมีแมคอยู่ใกล้ๆ ก็เลยแวะก่อนจะกลับไปอาบน้ำ
ซึ่งผมไม่กินเนื้อ เรยได้สั่งใหม่อีกอัน เก็บอันนี้ไว้ให้เพื่อนเย็นนี้ 5555
กินเสร็จก็รีบกลับมาอาบน้ำแต่งตัว ไปถนนคนเดินท่าแพ ไปนั่งร้าน moon pie ที่เมื่อวานจ้องไว้
เพราะที่นี่ มีhappy hour ด้วย ช่วง 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม ก็เรยรีบมาให้ทันนน
จะได้ซัดเบียร์ 1 แถม 1 เบียร์สด แก้วละ 100 บาท ก็จะเหลือแก้วละ 50 บาททันที
แถมอากาศวันนี้เย็นสบายมาก จิบเบียร์เย็นๆ ชิวๆ กันซะหน่อยยย 555
เอาล่ะ มาถึงก็ไม่พูดพร่ำครับ จัดไปหนักๆ สำหรับเบียร์ คืนนี้
แก้วนี้ ประมาณ 0.6 ลิตร 20 นาที หมดไปแล้ว 1 แก้ว สั่งต่อ อีกแก้ว
ก่อนที่เวลาจะหมด ไม่ถึง 20 นาที หมดแก้วที่ 2 จัดต่อ แก้วที่ 3
แก้วที่3 นี่แหละ พยายามจะยัดให้หมดก่อน 1 ทุ่ม เป็นช่วงจังหวะต้องชิงเวลา
ผมกระดกหมดตอน 6 โมง 58 รีบเดินไปสั่งอีกโปร
น้องเค้าพยักหน้าว่าได้ค่ะ หลังจากนั้นก็เดินกลับมาที่โต๊ะ แล้วน้องเค้าก็เดินตามมาบอกว่า
หมดเวลาแล้วววว เห้ย เดี๋ยวๆ เมื่อกี้มันยังไม่หมดไงงง
แม่งเอ๊ยยยยยยย งั้นเอามาอีกทาวนึงงงงง 55555
หมั่นไส้ จัดหนนักไปเรยยยย
สรุป เมาสิค้าบบบบบบบ 55555
อยากซ่าไง แตที่สุดแล้วว ร้านนี้ถูกกว่าร้านอื่นๆนะ
เช็คบิลออกมา 900 กว่าบาทท ตาสว่างเรยจร้า 5555
แต่เหมือนเค้าจะลืมคิดเบียร์ไปโปรนึงรึป่าววว หรือผมเมาดูบิลผิดก็ไม่รุ
ก็จ่ายๆไป เสร็จแล้วก็รีบเดินออกไป ตรงประตูท่าแพ
เพื่อที่จะรอเคาท์ดาวน์ ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองล่องลอยมากเรย 555 มาถึงท่าแพ
ก็มีคนปล่อยโคมเต็มไปหมดทั้งลาน ซึ่งบรรยากาศนี้ผมเคยเห็นเมื่อปีที่แล้วมาแล้ว
มาปีนี้กลับมาที่เดิมอีก ก็ชอบอ่ะ 555
ที่เห็นถ่ายรูปเบลอๆ ไม่ใช่กล้องนะ ผมเมาเอง 5555 ถ่ายไปเรื่อยเรยตอนนั้น
แล้วเพื่อนผมก็บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ผมก็เออๆไป แล้วผมก็ยืนดูเค้าปล่อยโคม
ตอนนั้้นรุสึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วจังวะ 555
บางคนก็ขึ้นอย่างสวย แต่บางคนนี่ก็ไหม้ อย่างที่เห็นเพราะลอยไม่เป็น 555
แต่สุดท้าย เมื่อมองไปบนท้องฟ้า นั่นคือสิ่งที่เราจะไม่มีวันลืม
คืมันสวยมากเรย โคมเป็นพันๆกำลังลอย ยิ่งตอนเคาท์ดาวน์นะ
ทุกคนปล่อยพร้อมกันนี่สวยมากอ่ะ แต่ตอนนี้ขอไปกินก๋วยเตี๋ยวแถวนั้นแป๊ป
5555 เมาจร้าาา
แล้วดูสภาพเพื่อนผมตอนนี้ 5555 ไม่ต่างกัน กับใจฉันหรอกกก
สิ่งนั้นที่เทอสัมผัส เราต่างรับรู้มันด้วยใจ 555
เอาเป็นว่า เมาคู่ 555 อีก 10 นาที จะเที่ยงคืนอยู่แล้วว เพื่อนขอตัวกลับบ้านเฉยเรย
อะไรวะเนี่ยยย 5555 มึงจะรอหลังเที่ยงคืนไม่ได้เรยใช่มั๊ย
สงสัยจะเมาจัด 555 ผมก็ได้แต่บอกว่าโชคดี เดินกลับดีๆ
แล้วผมก็ลุกไป เคาท์ดาวน์คนเดียว ข้ามปี รับ พ.ศ. ใหม่ คนเดียววววว
จากนั้น ไม่นาน ผมก็ต้องขอตัวขับรถกลับบบ
ตอนขับรถนี่รุสึกเรยว่า ทำไมรถเบาจังง ลมประทะหน้า ช่างเย็นสบายจริงๆ
ลากันไปด้วย Happy New Year 2019
แล้วเจอกันใหม่บทความหน้า กับอีก 3 วันที่เหลือ ในปี 2019 นะครับผม