ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

BALI On My Way EP.1



เมื่อก่อนเราเคยคิดว่า การเดินทางไปต่างประเทศ
มันโคตรเป็นเรื่องไกลตัว  แต่วันนี้เราได้ไปในที่ๆเราอยากไปเยอะมาก
ทั้งมัลดีฟส์  สิงคโปร์ เวียดนาม  และนี่ก็เป็นอีกที่ ที่ฝันไว้
ครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่เราจะเดินทางไปหามัน

นั่นคือ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย

เกาะที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกแห่ กันมาเพื่อเล่นเซิฟ และเรียนรู้วัฒนธรรม ที่นี่มีอะไรให้เรียนรู้เยอะแยะมากมาย และเราคือ 1 ในนั้น ไปเพื่อเรียนรู้ และเปิดรับสิ่งใหม่ๆกันเถอะ

โดยแพลนครั้งนี้ เราจะไป 4 วัน 5 คืน  ทำไม ถึงเป็น 5 คืน ก็เพราะ เราจะเดินทางกลางคืนเพื่อไม่ให้เสียเวลา  แต่ช้าก่อน ถ้าใครจะตาม ขอบอกเลยว่าอย่าเพิ่ง อีหนู  ฟังฉันก่อน
เพราะมันไม่ได้ง่ายอย่างในจินตนาการ  

เอาล่ะ เราไปเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า 
โดยวันนี้เรา มีไฟล์ทบินกัน 19.30  แต่ประเด็นคือผมเลิกงาน 17.30
กว่าจะเดินทางไปถึงสนามบิน ผ่าน ต.ม. เข้าเกต จะทันมั๊ยน๊อ แค่นี้ก็ตื่นเต้นละ
แต่สุดท้าย ผมก็มาทันเวลาอย่างเฉียดฉิว



เมื่อมาถึงหน้าทางเข้าตรวจลงตรา เราก็เตรียมบอร์ดดิ้งพาส ที่ทำการเช็คอินออนไลน์
มาเรียบร้อยกับพาสปอร์ตเข้าไปได้เลย แต่วันนี้ไม่มี ต.ม. คอยปั๊มตราให้ แอบเสียดาย
ต้องแสกนผ่านเครื่องเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่ามาไม่ทัน คิดในแง่ดี
แล้วก็ทำการสแกนกระเป๋า เมื่อเข้ามาถึงด้านใน สิ่งแรกที่ทำคือ เอาขวดเปล่าไปกรอกน้ำและเอามาม่าคัพที่เตรียมมา มาใส่น้ำร้อน และไปแลก แดรี่ควีน เพราะได้สิทธิ์เซเรเนด ของเอไอเอส ฟรี 

คือจะไม่ยอมเสียเงินเรยว่างั้นเถอะ 
แต่เนื่องด้วยวันนี้ คนเยอะมาก ทำให้ทางไลออนแอร์เลท และประตู 4 ที่เราจะใช้เข้าเพื่อไปบาหลี
ต้องย้ายไปใช้ประตู 3 แทน เพื่อไม่ให้แอร์เอเชียเลทไปอีก 
ตอนนี้ยังไงก็ได้ขอแค่ได้ไป ไม่เลทก็พอ เพราะนัดรับรถมอไซค์ไว้ ตี 3 ที่สนามบินบาหลี





บินคุ้มคุณภาพครบ บินเร๊ยยย ที่แอร์เอเชียย  แหม่กุท่องแม่นเรย สโลแกนเค้า 5555
เพราะได้ตั๋ว ไป-กลับมาในราคา 1400 บาท แม่เจ้าาา ถูกยิ่งกว่านครชัยแอร์ 555
เอาล่ะ เมื่อขึ้นมาถึงบนเครื่องก็หลับๆตื่นๆ เวลา 4 ชม.ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เรามาถึงสนามบิน บาหลี ประมาณ เที่ยงคืนครึ่ง เวลาที่บาหลีจะเร็วกว่าไทย 1 ชม.
ตอนนี้ เราได้เดินเข้ามาในสนามบินเพื่อจะผ่าน ตม. โอ้โห คนเยอะมากกกก








 คือ ไม่คิดว่าคนจะมาเที่ยวเยอะขนาดนี้ ต่อแถวเข้า ตม. เกือบ ชม.ได้  ตม.ที่นี่ใจดีนะ
ถามว่าเรามากี่วัน มาทำอะไร มาจากไทยรู้จักอาหารแบบนี้รึป่าวว  คุยกันเล่นก็ทำให้รู้สึกเป็นกันเองดี
หลังจากผ่าน ตม. มาได้ ไม่ใช่ว่าจะจบ ต้องเขียนใบผ่านอีกรอบบบ  เหมือนจะจบแต่ก็ยัง 555
ต้องดีแคร์ กระเป๋าอีกรอบ ผ่านเครื่องสแกน แล้วให้เราไปเปิดกระเป๋าให้เค้าดู  เค้าเหมือนจะไม่ให้เอาของสดเข้าประเทศ  ประเด็น คือกุเตรียม ข้าวหมูทอดใส่กระเป๋ามาด้วย 555 อาศัยจังหวะหน่อย
เดินเลี่ยงออกมาเลย  เนียนๆ ก็เลยรอดมาได้  



ออกมาได้ก็มาเข้าห้องน้ำ แล้วก็ไปรับกระเป๋าที่โหลดไว้  จากนั้นไปแลกเงิน แต่อย่าเพิ่ง
จะบอกว่าเรทที่สนามบิน ไม่ดีเรย  แนะนำให้ไปแลกที่ อูบุด ได้เรทเยอะกว่าเยอะ

แต่ด้วยความไม่รู้ ก็จัดไปเต็มสตรีม 



หลังจากแลกเงิน มาได้ประมาณ 4 ล้านกว่า รูเปียร์ คือเอาเงินไทยแลกเป็น US ที่ไทยก่อน
แล้วเอา US มาแลกที่นี่ เรทจะดีกว่า จากนั้นก็ออกมานั่งรอ ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ ตี 2 กว่า
ก็ต้องรอ ตี 3 เพื่อรอรับรถ จะบอกว่าตอนนั้น แทบไม่เหลือใครแล้ว ที่บาหลี ตอนกลางคืน คนเงียบมาก
เรารอจนตี 3 ก็ยังไม่เห็นใคร ก็เลยเดินออกไปถาม แท็กซี่ด้านหน้าว่ารู้จักบริษัทนี้มั๊ย
เค้าก็ยื่นโทรศัพท์ให้เรา ติดต่อเลย แต่เรายังไม่ทันได้ติดต่อ เค้าก็ทัก what app มา
ว่ารออยู่หน้าเคาเตอร์แล้ว  เราก็เลยเดินกลับไปที่เคาเตอร์ แต่เค้าพูดอังกฤษได้นิดหน่อย

เราจองรถ ไว้กับบริษัท BALI4ride  จ่ายเงินผ่าน paypal จากนั้นเค้าก็เดินนำพาเราไปเอารถมอไซค์
เราจองรถรุ่น vario 125 ไว้ วันละ 6 US เช่า4 วัน รวมค่า นำส่ง นอกเวลาอีก 100000 รูเปี๊ย
ตีเป็นเงินไทย ราวๆ 1200 พร้อมประกัน สำหรับ 4 วัน ก็โอเคร ได้ไปที่ๆเราอยากไป

คราวนี้คือของจริง สิ่งที่เราได้คือ หมวก2ใบ และเสื้อกันฝน 1 ตัว เมื่อพร้อมแล้ว let go
แผนเราคือ จะเอากระเป๋า ไปเก็บที่พักที่โรงแรม ในคืนนี้ แล้วก็ไปเที่ยวเรย 
ไม่หลับไม่นอน ตอนนั้นเวลาเกือบตี 4 ละ ขับรถจากสนามบิน เข้าไปอูบุดเรย ปรากฏว่าหนาวมากขับรถไปสั่นไป แล้วทางคือเงียบมาก ไปตาม จีพีเอสอย่างเดียว ใช้เวลา 1 ชม. กว่าจะมาถึง
ขับผ่านป่าที่อูบุด ตอนกลางคืน วังเวงมากๆ แล้วยิ่งมีของไหว้บูชาต่างๆที่อยู่ข้างทาง ทำให้ที่นี่ดูขลังมาก

แต่แล้วที่พักที่เรามาถึง กลับปิดเงียบสนิท ทุกที่พักที่นี่ ปิดเงียบทุกบ้าน ทุกโรงแรม ไม่มีบ้านไหนเปิดเลย  เราจอดรออยู่ด้านหน้าโรงแรมสักพัก เรียกก็ไม่มีใครตอบ ตอนแรกสิ่งที่คิดคือ มีรีเซปชั่นอยู่ข้างหน้า แต่ป่าวเลย ปิดเงียบไม่มีแม้แต่เสียง  เราพลาดละ ตอนนี้เราอาจต้องหาเช่าโรงแรมแล้วนอนกันก่อน
เพราะตอนนี้คือ ง่วงมาก เพราะไม่ได้นอนเลย ก็เรยตัดสินใจขับออกไปหาโรงแรม หนาวก็หนาว แถมวังเวงอีก ตอนเช้าที่นี่ บางบ้านจะออกมากวาดบ้าน กวาดหน้าบ้าน เห็นมีกระทงไหว้แทบทุกบ้าน
ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เป็นพิธีเกี่ยวกับอะไร เราไปเจอโรงแรมนึง ยังพอมีรีเซปชัน อยู่  เรยเข้าไปถามราคา เรทแพงมาก ประมาณ พันบาท แล้วเช็คเอาท์ ได้แค่เที่ยง ก็เลยไม่เอา  เลยเดินไปโรงแรมข้างๆที่เป็นโฮสเทล ไปกดกริ่งเรียก พนักงานก็ไม่มีใครออกมาเลย คราวนี้เรยตัดสินใจลองหาโรงแรมที่ สามารถเชคอินได้เช้าๆ ไปเจอ 7house โรงแรมเปิดเช็คอิน ตั้งแต่ 8 โมง แต่ตอนนี้จะ 6 โมงเช้าแล้ว
เลยขับไป แต่ก็ไม่มีใครอยู่ดี แต่เราไม่ยอมแพ้ ลองเรียกดู ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับอีก พอดีเห็นยายคนนึงเรยพยายามคุยกับเค้า แต่ไม่รุเรื่อง แต่เราพยายามบอกว่าเราจะเข้าพักที่นี่  เค้าก็เดินไปตามเจ้าของมาให้   โห โคตรสวรรค์อ่ะ  เจ้าของใจดีมาก  เราบอกว่า วอล์กอินนะ ไม่ได้จองมา เจ้าของบอกไม่เปนไร ตามฉันมาเลย  แล้วก็พาเราไปดูห้อง 





ราคานี้สามารถเช็คเอาท์ได้ถึงเที่ยงพรุ่งนี้เลย ราคา 200000 รูเปีย ก็เลยจองไว้เก็บของอาบน้ำ แล้วก็นอนซักตื่น  ตื่นมาอีกที 9 โมง ได้นอนประมาณ 3 ชม. รีบลุกไปอาบน้ำ กินข้าวหมูทอด 555 แล้วเค้าก็ชงกาแฟมาให้เราด้วย  ตอนนั้นคิดว่าจะนอนที่นี่แล้วทิ้งที่เก่า แต่บังเอิญไปผูกกับบัตรเครดิตไว้ ก็เลยต้องไปที่นั่น แต่นั่นคือการตัดสินใจที่ถูกจริงๆ เพราะที่พักที่จองไว้มันโคตรดี ดีมากกกกกกกก
ไว้จะเล่าให้ฟัง





ส่วนตอนนี้ก็ชมที่พัก 7้house ไปก่อน บริเวณรอบๆนะ



แพลนที่วางเอาไว้ทั้ง 4 วัน
ตอนนี้เราเลือกที่จะไม่ใส่ใจกะแพลนมากละ เราอยากเที่ยว อยากสัมผัสมันจริงๆมากกว่า ไม่ใช่ไปให้ผ่านๆ หรือไปแค่ถ่ายรูปอะไรแบบนี้ ก็เรยไม่คาดหวังอะไรมาก เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆที่จะเจอดีกว่า
หลังจากเตรียมของเสร็จก็ได้เวลาลุย  ที่แรกที่จะไป คือ jatiluwih เป็นนาขั้นบันไดที่ฮิตในบาหลีอีกที่
พอออกไปถนน ใหญ่ ไม่ใช่สิ ถนนใหญ่ที่แคบละกัน 555 

คือการขับรถที่บาหลี ขับที่นี่คือโหดมาก ผมว่าผมขับแข็งละนะ เจอที่นี่ไปผมนี่สกิลอ่อนด๋อยไปเรย
การแซงที่นี่โหด ชิบหาย คือระยะแค่ร้อยเมตรยังแซงกันได้ แล้วคือขับเร็วมาก ทางก็แคบมาก ทางชุมชนแต่ขับกัน 60-80 กม. การบีบแตรที่นี่ บีบกันตลอด บีบเพื่อเตือนกัน

ระยะทางแค่ 40 กิโล แต่ใช้เวลาขับ ชม.กว่า  2 ข้างทางในอูบุดบอกเลยว่าวิวดี ธรรมชาติมากๆ
ป่า ทุ่งนา บ้านเรือน  ชาวบ้าน วัว ควาย มีครบ 2 ข้างทาง และวัดในแบบฉบับบาหลีเห็นได้ทั่วไปเลย


ขับมาตั้งนาน ก็เรยขอบันทึกกิโลเมตรไว้ดีกว่า ว่าทริปนี้จะขับกี่กิโล ตัวเลขคือ 13998.4 กม
แต่กว่าจะถึงเลขนี้ผมขับไปแล้วน่าจะ 60 กว่าโลได้ละ และแล้วเราก็มาถึงจุดแรก
ทุ่งนาขั้นบันไดจร้าาาาา   เป็นขั้นจริงจังมาก












จากนั้นก็ขับไปต่อ จนถึงทางเข้า เก็บค่าเข้าคนละ 40000 รูเปีย สำหรับที่นี่ เข้าไปข้างในจะเห็นความยิ่งใหญ่ของที่นี่มากๆ แล้วก็สวยงามมาก ที่นี่มีเส้นทางเดินหลายเส้นมาก แนะนำให้มาทั้งวันสำหรับที่นี่ ถึงจะคุ้ม เพราะต้องเดินสำรวจรอบๆ แล้วอากาศที่นี่คือดีมาก















หลังจากที่เราเดินชมแต่ไม่ทั่วนะ พอให้ได้สัมผัส เราก็จะไปวัดที่มีความเป็นบาหลีมากๆ นั่นคือ วัดบราตัน
อยู่ห่างจากนานี้ไปเกือบ 30 กิโล แต่ก็นั่นแหละ มาเส้นนี้แล้วยังไงก็ต้องไป
2 ข้างทางคือดีมาก อากาศก็ดี วิวยังดีอีก ผมเริ่มหลงรักที่นี่แล้วสิ
ใช้เวลาเกือบ ชั่วโมงในที่สุดเราก็มาถึงวัด แต่เราจอดรถนอกวัดแล้วเดินเข้าไปเอา 
ไม่อยากเสียค่าจอดรถ 5555  แต่ไปปเสียค่าเข้าวัด คนละ 50000 รูเปีย
ถือว่าแพงใช้ได้ แต่ก็คุ้มค่าแนะนำให้มา  เพราะเลยขึ้นไปอีกหน่อย เราจะเจอกับประตูสุดฮอต
นั่นคือ handara resort  อยู่ห่างจากวัดแค่่ 2 กิโลเองมั๊ง  ที่วัดนี้มีการแสดงด้วยนะ แต่เราไปไม่ทัน
ที่นี่คนไทยเยอะมาก ต้องบอกก่อนว่าบาหลีคนไทยเยอะจริงๆ เดินไปไหนก็เจอแต่คนไทย
ยิ่งที่ท่องเที่ยงฮอตๆนี่ มีคนไทยแน่นอน  วัดบราตันแห่งนี้ เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ  มีวิวด้านหลังเป็นภูเขา ซึ่งสวยมาก ที่นี่คือเหมากับการมาถ่ายรูป ศึกษาประวัติศาสตร์ประมาณนี้
แต่เรามาเน้นถ่ายรูปบันทึกความทรงจำก็พอ











ที่นี่เป็นสถาปัตยกรรมที่บ่งบอกความเป็นบาหลีเอามากๆ เพราะฉะนั้นถ้าใครได้มาไม่ควรพลาดที่แห่งนี้
ส่วนตอนนี้เป็นเวลาบ่าย3 แล้ว เราคงต้องไปกันต่อ  เหมือนพื้นที่แห่งนี้อยู่บนภูเขาสูง แสงส่องไม่ถึงอึมครึมทั้งวันเลยอ่ะ แต่พอไป handara resort gate แดดออกเฉยเลย



ที่นี่ถ้าใครจะมาถ่ายรูปต้องเสียเงิน 30000 รูปี ต่อคนนะ  จะถ่ายแค่ข้างนอกก็ไม่ได้ จะเห็นว่ามีคนเฝ้าตลอด  แล้วถามว่ามาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องเข้าไปถ่าย และแน่นอน ด้วยความที่เสียเงิน
ก็ถ่ายกันเต็มที่มาก ยิ่งคนจีนนี่หลายช็อตมาก  ต่อคิวกันไม่เยอะ แต่รอนานมากก




ตอนผมเข้าไป มีคนต่อประมาณ 3 คิว รอเกือบ 20 นาทีนะ แค่3 คิว  แล้วมันมีจังหวะนึง คือถึงคิวผมพอดีกะลังจะเดินเข้าไปถ่าย ก็มีเด็กคนนึงวิ่งมาแย่งซีน แล้วพ่อก็ถ่ายรูปรัวๆเรยจร้าา  น่าจะเป็นคนท้องถิ่น
โดนฝรั่งที่ต่อคิว ต่อจากผมด่าไปเต็มๆจร้า  ว่าเห็นมั๊ยเค้าต่อคิวถ่ายกันนานมาก คุณทำแบบนีได้ยังไง
 บลาๆๆ  ร่ายยาวเรยจร้า แล้วบอกให้ผมเดินเข้าไปเรยไม่ต้องสนใจ


ผมก็ถ่ายไม่นานมากถ้าเทียบกะคนอื่น ถ่ายเสร็จเดินออกมาเก็บกล้อง เก็บกระเป๋า ฝรั่งที่ต่อจากผม ถ่ายเสร็จแล้ว 5555 ไม่ต้องมีพิธีรีตรองเยอะ  แค่นี้ก็รู้ว่าวัฒนธรรมโคตรต่าง 555+ ระหว่างเอเชียกับยุโรป


พอถ่ายเสร็จก็ได้เวลากลับ อูบุด  คราวนี้แหละ ของจริง รถติด รถเยอะมาก ทุกคนมุ่งหน้าสู่อูบุด
เหมือนทุกคนเที่ยวเสร็จพร้อมกันแล้วกะลังกลับตัวเมือง ตอนนั้นเป็นเวลา 4 โมงเย็น กว่าจะถึง เกือบ 2 ชม. ระยะทางแค่ 60 กว่าโล เป็นการขับรถที่โคตรยาวนาน  คือ รถเยอะนะ แต่ก็ยังขับกันเร็วมากๆ
ผมว่าถ้าเช่ารถพร้อมคนขับ ก็คุ้มอยู่นะ เพราะเค้าแซงตลอด ทำเวลาได้ดี เค้ารู้ว่าต้องไปไหนเวลาไหน
ถ้ามาหลายคนแนะนำฟังก์ชันนี้ แต่ถ้ามานานๆยาวๆ ก็มอไซค์คุ้มกว่า

เอาเป็นว่าตอนนี้ผมอยู่ อูบุดเรียบร้อย ตอนนี้กะลังจะหา ridge walk แต่หาไม่เจอ หาทางเข้าไม่เจอ
ก็เรยข้ามไปก่อน ไปเช็คอินที่่พัก ที่เราจองมาจากไทย ที่เราจะนอนวันนี้กันก่อน





ที่พักนี้ชื่อว่า Pecatu Ubud Guest House ราคาคืนละ 900 บาท แต่สิ่งที่ได้คือดีมากกก 
โรงแรมนี้เป็นรีสอร์ท 3 ดาว ห้องที่เราจองเป็นห้องสุดท้ายพอดี จองผ่าน booking 
ต้อนรับเราด้วยน้ำ บีทรูท สดชื่นมาก แอร์เย็นฉ่ำมาก หน้าห้องมีป่าส่วนตัว และสระว่ายน้ำด้านบน
น้ำใสมากกกก  เหมาะแก่การจิบเบียร์มากๆ คนที่รีสอร์ทนี้ใจดีมากอ่า พาเราทัวร์ทุกซอกมุมของรีสอร์ท แต่ตอนนี้เราต้องไปเอาของจาก 7house มาก่อน








เมื่อเราไปนำของจากห้องเก่า เอามาไว้ห้องใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก ก็ได้เวลาออกไปกินข้าว
เพราะหิวมาก คือได้กินแค่มื้อเดียว คือข้าวหมูทอดจากไทยนั่นแหละ ไม่มีเวลากิน เดินทางตลอด
เลยขับไปหาของกินข้างทาง นั่นคือ ไก่ ซาเต๊ะ  อาหารยอดฮิตของที่นี่
ขายอยู่ใกล้ๆปากซอยที่พักเรย  แต่ที่เด็ดกว่าคือร้านข้างๆ เราสงสัย บวกด้วยความหิว
เรยถามว่าคืออะไร เค้าบอก เลเล  อะไรวะเลเล  เค้าบอกให้เดินเข้าไปดูการทำได้เลย





เราก็เข้าไปดูแล้วก็ลองสั่งมา 1 ที่ ไก่ซาเต๊ะ 10 ไม้ 20000 รูเปีย
คำแรกที่ได้กินคล้ายๆหมูสะเต๊ะบ้านเรา อร่อย ผ่านนน ต่อมาคือ เลเล อันนี้เห็นเค้าใช้มือกินกัน
เมื่อกินคำแรกเข้าไป โหมันอร่อยมาก เราสั่งเป็นไก่ไป  ที่อร่อยคือน้ำจิ้มสีส้ม มันออกเค็มๆมันๆ
คือพอกินกับข้าว เออ อร่อย หรือว่ากุหิวกันแน่วะ แยกไม่ออกละตอนนี้


โดนเลเล ไปอีก 20000 รูเปีย  ถูกมาก เลยข้ามไปซื้อ โมเลน กล้วยทอดอินโดนั่นเอง
10000 รูเปีย ได้เต็มถุง  ตอนนี้ กินอะไรไม่ไหวแล้วจร้า  อิ่มมาก แอบเข้ามินิมาร์ท ไปซื้อมาม่ามาลองกินดู
เค้าบอกมาม่าที่นี่อร่อย  ราคาอยู่ที่ 2500 รูเปีย ต่อซอง เลยซื้อขนมกลับมาอีก แล้วซื้อซาเต๊ะกลับอีกห่อ
ไปนั่งกินกับเบียร์ที่ห้อง 5555 พอมาถึงห้อง อยากลองกินมาม่า แต่แก๊สที่ห้องหมด เรยเดินไปขอน้ำร้อน
จากเจ้าของรีสอร์ท เค้าบอกได้เรย อยู่ห้องไหน ต้มเสร็จแล้วเดี๋ยวเอาไปให้ถึงห้องเรย
คนที่นี่เฟรนลี่เอามากๆ


เมื่อท้องอิ่ม ก็ได้เวลาไปอาบน้ำนอน  พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาลุยกันต่อ


เช้าวันต่อมา....

ก๊อกๆๆ  นาฬิกาปลุกไม่ตื่น  แต่ที่ได้ยินคือ เสียงพนักงานมาเสิร์ฟอาหารเช้าตอน 8 โมงหน้าห้อง
วันนี้เป็นแพนเค๊ก กับผลไม้   รสชาติเยี่ยม กับชาและกาแฟ




รีบไปอาบน้ำ แล้วมากินอาหารเช้ากัน หน้าตาดีมาก เราสามารถเลือกได้ว่าจะขึ้นไปกินข้างบนสระน้ำ หรือหน้าห้อง วันนี้ขอหน้าห้องละกันนะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนบรรยากาศ
โดยแพลนวันนี้เราจะขับไปวัด ที่ใครต่อใครมาบาหลี ต้องมาที่นี่ Lempuyang temple
ซึ่งอยู่ห่างออกไป 60 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชม.เต็มในการนั่งมอเตอร์ไซค์

แน่นอนวันนี้เราเติมน้ำมันอีก 30000 รูเปีย ลืมบอกว่าวันแรก เติมน้ำมันเต็มถังไป 50000 รูเปีย
วันนี้ก็จัดให้เเต็มถังไปอีก  แล้วไปลุยกัน กว่าจะได้ออกก็ประมาณ 9 โมง ครึ่ง
การขับขี่ระหว่างทาง ช้าบ้างเร็วบ้าง ขับขี่ด้วยความระมัดระวังดีที่สุด



มาถึงวัด 11 โมงครึ่ง ที่นี่ ต้องนุ่งโสร่งเข้า มีให้เช่า ผืนละ 10000 รูเปียย และค่าบำรุงวัดอีกคนละ 10000 รูเปีย  แต่ตอนขาเข้า เราจ่ายกันแค่ค่าเช่าโสร่ง เค้าบอกว่าให้จ่ายอีก 20000 รูเปีย เพื่อเป็นค่ามัดจำ เราก็โอเคร  แต่พอขากลับมันไม่ใช่แบบนั้น

เมื่อเราได้โสร่ง เราก็เดินขึ้นไปบนวัด จะมีไกด์บอกรายละเอียดว่าทำอะไรได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก่อนขึ้นวัด
พอเราเข้าใจแล้วก็เดินขึ้นไป ไม่ไกลมาก ก็ถึง ที่ตะลึงคือคนที่ต่อแถวเพื่อถ่ายรูป
คือมันมหาศาล เชื่อแล้วที่เค้ารอกัน 2-3 ชม. เป็นแบบนี้เอง และที่เห็นในรูปเป็นน้ำ เกิดจากการเอากระจกมารองที่กล้องนั่นเอง ซึ่งจะมีคนถ่ายให้เรา จะถ่ายเองก็ได้ แต่ต้องต่อคิวเพื่อเข้าไปถ่าย
นานมาก 1 คน โพสได้ 3-4 ท่า ประมาณนี้



รูปที่ได้ก็จะประมาณนี้



ดูจำนวนคนต่อคิว



เด่วให้ดูคลิปบรรยากาศการโพสท่า


ระหว่างรอคิวนี่แหละ คือจังหวะที่เราจะได้ดู คนอื่นเป็นตัวอย่างว่าจะโพสท่าอะไร

ผมคิดท่าไม่ออก เรยโพสไปแบบนี้  ไม่เข้าใจเค้าหัวเราะอะไรกันวะ 55555
ได้ยินเสียงพูดด้วย ว่าจะเอาท่าแบบนี้ 555


ผมกล้าพูดเลยว่านี่คือรูปเดียวที่ใช้เวลาในการถ่ายยาวนานที่สุดในชีวิตแล้ว
ขับมา 2 ชม. รอคิว 3 ชม. กลับอีก 2 ชม. หมดวันพอดี
คือมึงห้ามทำหายเด็ดขาด !!


กว่าจะถ่ายเสร็จปาเข้าไปเกือบบ่าย 3 ละ รีบเดินลงไป จะมีเด็กคอยเก็บโสร่งคืนอยู่ทางออก
จากนั้น เราก็มุ่งไปที่เคาเตอร์จะเอาเงินคืน เค้าบอก ที่นี่ไม่มีนโยบายให้เงินคืน
เราก็บอกจะไม่คืนได้ไง ในเมื่อเรามัดจำไว้ 20000 รูเปีย เค้าเรยอธิบายใหม่ว่า  20000 นั้น
มันเป็นค่าบำรุงสถานที่ ไม่ใช่ค่ามัดจำ  ก็เรย เออๆ เข้าใจ แต่ทำไมไม่พูดแบบนี้ตั้งแต่แรก
ไอ้คนที่พูดก็ไม่รุไปไหนแล้ววว ก็เรยไปต่อดีกว่า

โปรแกรมต่อไป คือ บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ที่ทุกคนที่มาที่นี่ห้ามพลาด
แต่ขากลับเลือกกลับอีกเส้นนึง ต้องขับผ่านป่า ขึ้นเขา ชันมาก หนาวมากกก



เจอวิวดีๆ ข้างทางก็จอดแชะซะหน่อย

กว่าจะถึง ปาเข้าไป 5 โมงเย็น ซึ่งวัดปิด 6 โมง  รบเดินเข้าไปซื้อตั๋ว คนละ 50000 รูเปีย
แล้วเดินเข้าไปจะมีคนใส่โสร่งให้เรา อันนี้ฟรี แต่พอเดินเข้าไปบ่อน้ำพุ
ถ้าเราอยากจะลงบ่อ ต้องออกไปเปลี่ยนโสร่ง ค่าโสร่ง 10000 รูเปีย และค่าล็อกเกอร์ 20000 รูเปีย
แต่ผมไม่เอาล็อกเกอร์  ก็จ่ายแค่นั้นไป เปลี่ยนชุดเสร็จ ก็ตรงไปที่บ่อ

แล้วก็เริ่มลงอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำเย็นมากใสมาก และมีปลาตัวใหญ่มาก อยู่ในบ่อ





บอกเลยว่าสั่น จร้าาาาา อีกอย่าง ถ้าคุณสังเกตดีๆ จะเห็นบางบ่อไม่มีคน แต่มาต่อคิวกันที่บ่อเดียว
สังเกตุง่ายๆ บ่อที่มีกระทง หรือเครื่องบูชาวางอยู่ นั่นเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่คนนิยมมาอาบกัน
แต่บ่อที่ ไม่มีเครื่องบูชาวางอยู่ จะเป็นบ่อที่เอาน้ำไปใช้กับคนตาย คนที่นี่ถือว่าเป็นน้ำไปใช้ในทางที่ไม่ดีไม่นิยมอาบ ถ้าคนที่มากับไกด์หรือคนขับรถ เค้าจะบอกนักท่องเที่ยวของตัวเอง 
แต่เรามาเอง เราก็หาฟังจากคนข้างๆเอา 5555 ได้ความรู้เหมือนกัน






และผมคือคนสุดท้ายที่ได้ลงในบ่อศักดิ์สิทธิ์  เพราะหมดเวลาแล้ว
ก็เลยเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดเดิม แล้วก็ขับกลับ อูบุด อีก 17 กิโล เป็นระยะที่ค่อนข้างไกล
พอเราขับมาถึงกลางทาง รถมันติด แถมหิวด้วย วันนี้กินแค่มื้อเดียว คือมื้อ แพนเค๊กเมื่อเช้านั่นแหละ

เลยแวะเข้าไปในร้าน JFC ซึ่งเป็นแฟรนไชส์หลายสาขา ทำไมคนท้องถิ่นกินกันเยอะ
ก็เรยลองเข้าไปกินดู ปรากฏว่าถูกมากและ อร่อยมากกกกกก

ฟินเว่อออ แนะนำร้านนี้


ที่เห็นเมนูบนโต๊ะนี้ ราคา 10000 รูเปีย มีข้าว ไก่ และน้ำ คือครบ ในราคา 20 บาท ถูกมาก
เราเลยลองสั่งอีกเมนู  ราคา 8000 รูเปีย อร่อยมากกกกก  เรยสั่งกลับบ้านอีกกล่องแล้วก็ เอานักเก็ต เซ็ตใหญ่ 15 ชิ้น ราคาแค่ 15000 รูเปีย







แนะนำดาวล้านดวง ว่าอยากประหยัดให้เข้า JFC


หลังจากกินเสร็จ ก็ออกมาเดินดูเค้าขายของ street food ที่คนท้องถิ่นเค้ากินกัน
แต่เราไม่ไหวละ อิ่มจัด
เลยกลับ อูบุดเรย ตอนแรกจะเข้าที่พักไปอาบน้ำแล้วออกมาตลาดอูบุด
 แต่ทำไปทำมาหาร้านแฮงค์เอาท์ ในย่านอูบุดนั่งชิลๆ ฟังเพลงดีกว่า ก็มาได้ร้าน siam sally
ชื่อคุ้นๆมั๊ย 55555  ตอนแรกไม่ได้สังเกตุ ว่านี่คือร้านอาหารไทยหรือเปล่า
เห็นมีดนตรี ก็เรยแวะเข้ามาเรยยย  เรยสั่งเมนูแนะนำ นั่นก็คือ ส้มตำรวม
55555 ราคา 45000 รูเปีย เบียร์ บินตัง ขวดละ 35000 รูเปีย  จัดไป 2 ขวด







และนี่คือร้านอาหารไทยนี่เอง เชฟก็เป็นคนไทย การได้มานั่งชิลๆแบบนี้เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน  โดยที่ดนตรีที่นี่สับเปลี่ยนกันทุกวัน ทุกแนว
โดยแนวที่เรามานั่งในวันนี้ เป็นแนวร็อค




 กะลังนั่งฟังเพลงอยู่ ฝรั่งโต๊ะข้างๆลุกพรวด โวยวายออกไป เราเองก็ตกใจ อะไรวะ
ที่แท้คือ ลูกไม้จากต้นไม้มันหล่นมาใส่  แค่นั้น 5555 นั่งแบบ out door ก็ต้องเจออะไรแบบนี้แหละ




แค่นี้ก็ฟินได้ละ ไม่ต้องอะไรใหญ่โต 4 ทุ่มก็กลับไปที่พัก 
จิบเบียร์ต่ออีกกระป๋อง
พร้อมไก่ที่ซื้อมา คือมันถูกมากเว้ยยยย 





มันก็เป็นค่ำคืนธรรมดา ที่มีความสุขอีกคืน
หมดไปสำหรับ 2 วันแรก ที่เราใช้ชีวิตในอูบุด  เมืองที่เต็มไปด้วยอารยธรรม
สิ่งที่เราเห็นได้จากที่นี่เลยคือ คนท้องถิ่นใจดีมากกกก  ถนนแคบ  ป่าเยอะมากก
ของแพงระดับนึง  และวัดเยอะมาก เครื่องเซ่นไหว้ นี่เห็นได้ตามพื้น แทบทุกบ้านน
การมาที่นี่ เพื่อเรียนรู้ เพราะวัฒนธรรมคนละอย่างกะบ้านเรา
ขนาดว่า กลับรถมอไซค์ตัดหน้าเค้า เราบอก sorry แต่เค้าตอบว่า welcomeแล้วยิ้ม ^^


มันทำให้เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจมากกเป็นพิเศษ
ขอบอกว่าควรต้องมาซักครั้ง ในชีวิต
มาใช้ชีวิตชิลๆ ณ ที่แห่งนี้ เอาจริงๆ ที่แพลนไว้คือเยอะมาก
แต่ไปไม่ครบก็ไม่เป็นไร ครั้งหน้าจะมาใหม่
เรายังเหลือเวลาที่นี่อีก 2 วันเต็มๆ แล้วจะเขียนใน EP หน้านะเอออ

แล้วเจอกันซักที่บนโลกใบนี้ครับผม



-----------------------------------






















Popular Posts

Facebook