ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2563

ย่างกุุ้ง ทริป แห่งความทรงจำตลอดกาล EP.1



บันนทึกการเดินทาง

ณ วันที่ 27-02.01.20


ย่างกุ้ง ประเทศ เมียนมา


ก่อนอื่น ขอสวัสดีๆๆกันก่อน ทริปนี้เป็นทริปสิ้นปี โดยเราจะไปเคาท์ดาวน์กันที่พม่า คนเดียวด้วยจร้า  เอาล่ะ การเดินทางครั้งนี้จะสุดมันส์แค่ไหน  ไปอ่านกันเรยย


เริ่มต้นจาก เย็นวันศุกร์ที่ 27 ธ.ค 19  บริษัทเลิกงานบ่าย 3 โมง  ทำให้เรามีเวลาพอที่จะไปเตรียมตัวอะไรหลายๆอย่าง  หลังจากเลิกงานเสร็จ เราก็ให้น้องร่วมงานมาส่ง ที่สี่แยกสวนสมเด็จ แล้วเดินไปต่อรถโดยสารอีก 8 บาท เพื่อไปลงวัดดอนเมือง  โดยใช้เวลาชิวๆไป เพราะเรามีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมง ขึ้นเครื่อง 2 ทุ่ม  ทำให้งานนี้เราไม่รีบเลย





จากนั้นเมื่อมาถึงวัดดอนเมือง ทำการซื้อข้าวเหนียว เพื่อเตรียมไว้ไปกินที่พม่า เป็นมื้อเย็นวันนี้และมื้อเช้าพรุ่งนี้  จากนั้นเดินข้ามฝั่งไปสนามบินดอนเมือง  แน่นอนว่า เวลาเหลือเฟือ เราเลยไปหาของกินที่โรงอาหารในสนามบิน  ผมสั่งก๊วยจั๊บมากิน ในมื้อนี้





กินเสร็จก็เดินเข้า ตม. เพื่อไปรอหน้าเกตดีกว่า  ประเด็นคือ อยากเข้าไปเดินดู DUTY FREE แล้วก็แลกสิทธิ์ เซเรเนดของแดรี่ควีนฟรีนี่แหละ 555   หลังจากรอไม่นาน  สายการบินก็เรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องและทริปนี้ผมต้องลุยเดี่ยว คนเดียวตลอด 7 วัน

ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็ถึงสนามบินที่ย่างกุ้ง  สนามบินที่นี่ทันสมัยมากไม่ได้ต่างจาก สนามบินของไทย หรูหราจริงๆ ผิดคาดไปเลย และเมื่อเรามาถึง ก็เดินตรงไปที่ ตม. แต่คิว ตม. ยาวมาก  และทำช้ามาก  หนักกว่าบาหลีอีกที่นี่ 


ผมจำได้ว่ายืนรอ ตม. เกิน 40 นาทีได้   กว่าจะได้เข้า   หลังจากผ่านออกมาได้ ก็เป็นเวลาเกือบ 4 ทุ่มแล้ว ผมก็รีบเดินไปซื้อซิม บอกคนขายว่า ซื้อซิมและมีเน็ตพ่วงด้วย 2 GB  ราคา 4000 จ๊าด  ให้แบงค์ 10000 ไป  ตอนทอนเลยบอกให้เค้าทอนแบงค์ย่อยมาให้ด้วย  เพื่อที่จะเอาไปขึ้น ชัตเติ้ลบัส ไปใจกลางเมือง







เมื่อได้ ซิมและเน็ตแล้ว ก็เดินออกจากสนามบิน ผ่านแท็กซี่ไปเลย เลี้ยวซ้ายไปที่ท่ารถชัตเติ้ลบัส เดินไปเรื่อยๆ ข้ามถนนไปก็เจอ  ผมถามคนขับว่าไป SULE มั๊ย  เค้าพยักหน้า  จากนั้น ผมก็เดินขึ้นไปนั่งรอบนรถ จ่ายไปอีก 500 จ๊าด  หรือประมาณ 10 บาทไทย  

คนที่นี่ขับรถกันกระชากมากๆ ขับแบบปาดกันไปกันมา เป็นเรื่องปกติของทที่นี่เลยล่ะ ใช้เวลาประมาณ ครึ่ง ชม. ผมก็มาถึงบริเวณใจกลางเมือง  แต่ผมต้องเดินไปต่อ เพื่อไปยังที่พัก  ตอนนั้นเป็นเวลา 5 ทุ่มกว่า  บอกเลย ว่าเงียบมาก ไม่มีนักท่องเที่ยวเรย คนพม่าก็แทบไม่มี



เดินไปชมเมืองไป  ไปเจอมินิมาร์ท เข้าทางผมล่ะ เลยเดินเข้าไปสำรวจด้านในมินิมาร์ท ไปดูเบียร์  ที่นี่กระป๋องใหญ่ ครึ่งลิตร ขายอยู่ 35 บาท ก็ถูกกว่าประเทศไทยอยู่ดี  ยี่ห้อ เมียนมาเบียร์  และที่นี่มีโปรได้ด้วย ต่างจากบ้านเราที่ห้ามมีโปรการขาย


ผมซื้อมาในราคาเกือบ 3000 จ๊าด  2 กระป๋อง จากนั้น ก็เดินไปที่พัก ที่พักคืนแรกของผมชื่อว่า little yangon ราคาตกคืนละ 120 บาท และมัดจำอีก 10 เหรียญ และผมพักที่นี่ถึง 4 คืนเลย และในที่สุด ผมก็ได้พักที่ย่างกุ้งซะที  จากนั้นก็ไปอาบน้ำ แล้วมาเปิดเบียร์กินพร้อมกับข้าวเหนียวไก่ทอดจากไทย  แล้วก็นอนเล่นโทรศัพท์ สักพัก เห็นแอร์มันไม่ทำงาน ก็ไม่ได้สนใจอะไร พอเริ่มนานเข้าอ้าวทำไม ดับไปเลย  ร้อนด้วย นอนไม่หลับ



ทำให้ต้องลุกไปตาม สตาฟมาดู เค้าก็มาดูแล้วก็ช่วยกันแก้ ปรากฏว่าซ่อมไม่ได้ ผมเลยขอเปลี่ยนห้อง  แต่เขาบอกว่าวันนี้ห้องเต็มหมด และเขาบอกว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะมาซ่อมให้   ตอนนั้นก็ตี 1 กว่าละ เราก็เลยเอาวะ คืนเดียว ทนๆไป   ปรากฏว่าแอร์มาติดตอนเช้ามืดจร้า  อยู่ดีๆมันก็ติดเอง  เพื่อนร่วมห้องไม่มีใครเดือดร้อนกับการที่แอร์ไม่ทำงานเลย นอกจากผมนี่แหละ

วันนี้ผมเพลลียมาตื่นซะสายเลย ลุกไปอาบน้ำแล้วไปกินข้าวเช้า  ของโรงแรม  ต้องบอกเลยว่าชาพม่าอร่่อยมากกก และวันนี้ยังได้ลอง ข้าวผสมถั่วเป็นอาหารโลคอล บ้านเค้าเรยล่ะ  แล้วก็ขนมปังปิ้งทาแยม  ซัดไปหลายแผ่นอยู่ แล้วก็ได้เพื่อนพม่าคนแรก คือ มานั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน แต่เค้าพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เรย  เราก็ใช้google tran เอา  ก็คุยนู่น นี่นั่นไปเรื่อย



ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 10 โมงเช้า  ผมเลยขอตัวไปเก็บของแล้วก็เอากล้องออกมา เดินเที่ยวรอบๆใจกลางเมือง โดยผมมุ่งตรงไปที่เจดีย์สุเหล่ ถ่ายภาพนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ก็มี 2 สาวชาวอินเดีย แต่อยู่ที่พม่านะ  เดินเข้ามาทักว่าเรามาจากไหน  ผมก็บอกว่าไทยแลนด์ จากนั้นก็เริ่มคุยกัน ถึงการท่องเที่ยวที่นี่








เค้าบอกว่า วัดที่พม่านี่เก็บค่าเข้าแพง ทั้งๆที่ข้างในไม่มีอะไรเลย แต่เก็บเงินนักท่องเที่ยวแทบทุกวัด และเค้าแนะนำว่า มีวัดอยู่กลางน้ำ วันนั้นน่าสนใจให้เราลองไปเที่ยวดู  ไม่เสียค่าเข้า แต่เสียแค่ค่าเรือข้ามไปวัด  ผมก็บอกโอเครๆ  แล้วผมจะลองศึกษาดู




แล้วผมก็ขอถ่ายรูป  กับพวกเค้า  เค้ายังทิ้งท้ายด้วยว่า ผมต่างจากคนพม่ามากๆ ดูหุ่นคือเฟิร์มกว่าคนพม่า เค้าบอกคนพม่าจะผอมแห้ง และเป็นแบบนี้แทบทุกคน  ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น  หลังจากผมเดินออกมาไม่นาน เค้าก็เดินตามมาขายโปสการ์ด 5555 นั่นไง ว่าละต้องมีอะไรแอบแฝง

ผมเลยถามว่าเท่าไหร่ เค้าบอกว่า 10 แผ่น 3000 จ๊าด  แต่เราเลือกซื้อ แค่ 2 แผ่น เฉพาะแผ่นที่ชอบแค่นั้น จ่ายไปอีก 1000 จ๊าด ประมาณ 20 บาท  แต่เชื่อมั๊ยว่ามันกลับมามีประโยชน์ในวันสุดท้าย แล้วจะเล่าตอนท้าย



จากนั้นก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อย และเราก็เริ่มใช้รถเมล์ โดยเรานั่งจาก sule ไปทะเลสาบกันดอร์จี  เพราะที่นั่นใกล้ๆกับเจดีย์ชเวดากอง ที่เราจะเข้าไปเที่ยวในตอนเย็นวันนี้  แต่บ่ายวันนี้ ขอไปทะเลสาบก่อน  ค่ารถเมล์สายปกติ แค่ 200 จ๊าด เท่านั้น หรือประมาณ 4 บาทตลอดสาย ถูกมากกก  นั่งต่อเดียวถึง








จากนั้นเราพยายามหาจุดไฮไลท์แต่ก็หาไม่เจอ   ต้องเดินอ้อมไปไกลมาก  กว่าจะเจอเดินเป็นชั่วโมงอยู่นะ  ไม่เสียค่าเข้า  ถึงจุดไฮไลท์แล้วก็ ถ่ายรูปสิครับ  ถ่ายไปเรื่อยๆ ถ่ายเสร็จ เริ่มหิว ไปหาที่นั่งใต้ต้นไม้เอาข้าวเหนียวไก่ทอดอีกห่อ จากไทยออกมากิน  ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ บ่าย 3 แล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องกินข้าวแล้วล่ะ 




กินเสร็จ ก็เดินกลับทางเดิม ย้อนขึ้นไป เพื่อไปเจดีย์ชเวดากองอีก โลกว่า ไม่ยอมเรียกแท็กซี่ 5555 เราจะไม่ยอมเสียค่าแท๊กซี่เด็ดขาด ระหว่างเดิน น้ำหมด ต้องซื้อน้ำเพิ่ม ซื้อน้ำขวด 1 ลิตร ราคาแค่ 500 จ๊าดเท่านั้น ถูกมาก เมื่อเดินมาถึงชเวดากอง  เราต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า จะฝากร้องเท้าก็ได้หรือไม่ฝากก็มีถุงให้  ตอนแรกไม่รู้ว่าฝากต้องเสียเงินด้วย  เพราะเค้ามาเก็บเราตอนจะเอารองเท้าคืน




ฝากรองเท้าเสร็จเดินขึ้นด้านบนเจดีย์ ไกลพอสมควร แล้วก็ซื้อบัตร ราคา 10000 จ๊าด อันนี้แพงจริง
จะมีสติกเกอร์ติดที่เสื้อและมีแผนที่ให้ เมื่อเดินเข้ามา เออว่ะ  สวยจริง และในที่สุดผมก็มาถึง เจดีย์ที่เค้าพูดต่อกันว่า เป็นเจดีย์ที่สวยที่สุดในโลก ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างมากๆ  เดิน 1 รอบนี่ เล่นเอาเหนื่อยเลยล่ะ   คนไทยก็เยอะมากเช่นกัน




ส่วนใหญ่จะเป็นทัวร์ และในวันนี้สิ่งที่ผมตั้งใจคือ ผมจะต้องเห็นวัดนี้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน  ผมมาตอนบ่าย 4 โมง  เจดีย์ยังทองอร่าม สวยงามเนื่องจากแดดที่สะท้อนมา  ผมก็รีบตั้งกล้องถ่าย  จากนั้นมีคุณลุง เดินเข้ามาพูดกับผมว่ามาจากไหน เค้าก็เริ่มชวนคุย เริ่มอธิบายวัดนี้ให้ฟัง เริ่มถามผมเกิดวันไหน แล้วเค้าก็พาเราเดิน ไปพาไปไหว้อธิบายการไหว้ที่ถูกต้อง ต้องทำยังไง ทำแล้วจะได้อะไรประมาณนี้แล้วก็เอาโทรศัพท์ผมไปถ่ายรูปให้




ตอนนั้นผมเริ่มรู้ละว่า เค้าน่าจะเป็นไกด์ที่คอยไกด์นักท่องเที่ยว แต่สิ่งที่ผมเป็นต่อคือ ผมยังไม่ได้ตกลงราคากับเค้า เพราะฉะนั้นผมมีสิทธิ์ที่จะให้เค้าเท่าไหร่ก็ได้  แล้วแต่ความพึงพอใจของเรา






แต่ลุงไกด์คนนี้ แนะนำแต่ละอย่างคือดีมากๆ ดีมากจริงๆ เช่น มันจะมีต้นไม้อยู่ 1 ต้น แทบไม่มีใครมาจุดนี้เลย เค้าบอกว่าต้นโพธิ์ต้นนี้เปรียบเสมือนพ่อและแม่ของเรา  ให้เราไปยืนจับไม้ที่ค้ำต้นไม้อยู่ หลังจากนั้นเค้าเริ่มสวด เป็นภาษาอังกฤษนะ 5555 ประมาณว่า ให้พ่อแและแม่ของเรา มีอายุที่ยาวนาน และสุขภาพแข็งแรงเหมือนต้นโพธิ์ต้นนี้  หลังจากนั้นให้เราอธิษฐาน






คือพาเราไปทุกจุดที่สำคัญ  มีจุดนึงที่เป็นเหมือนรอยพระบาท ให้เราเทน้ำลงในพระบาท 3 ขัน จากนั้นก็ให้เอานิ้วกลางจุ่มลงไปที่รอยพระบาท แล้วเอามาจิ้มที่กลางหน้าผาก เพื่อช่วยให้การเดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย  คือแนะนำทุกอย่างที่เกี่ยวกับวัดแห่งนี้




เราก็ถามเค้าว่าถ้าไกด์ปกติ เค้าให้กันเท่าไหร่ ลุงบอกว่า ถ้าไกด์ทั่วไป ก็ 20-30 USD ซึ่งจากที่ผมเคยเห็นก็จริงนะ ค่าไกด์ไม่ได้ถูกเลยนะ ส่วนใหญ่เค้าจะไปเป็นกลุ่ม ก็เรยช่วยหารกันได้ แต่ผมนี่ล่อ ไกด์ส่วนตัวเรยจร้าา  ผมเลยเปิดประเด็นไปเลยว่าเราเป็นแบคแพคเกอร์นะ  ไม่ค่อยมีเงินมากมาย  แล้วเราเต็มใจที่จะจ่าย 10000 จ๊าด  คือ ตอนแรกแกเรียก 15000 จ๊าด  แต่คุ้มมากนะ เพราะแกอยู่กับผมเดินรอบเจดีย์น่าจะ 1-2 ชม.ได้ แกถ่ายรูปให้ตลอดเลย  ก็เหมือนไกด์ส่วนตัวนั่นแหละ

เกิดมาไม่เคยเที่ยวแบบมีไกด์ส่วนตัวขนาดนี้เลย  5555 นี่คือครั้งแรก   และมันไม่ได้แย่นะ การที่มีไกด์ คือเราจะอินกะสถานที่นั้นมากๆ จริงๆ ยืนยันเลยว่ามีไกด์มันดีกว่าไม่มี แต่ก็ต้องยอมจ่ายค่าไกด์ ถ้ายอมรับได้ก็จบ



หลังเซลฟี่แล้วสุดท้าย เราแยกกัน ส่วนผมก็รอให้มืดสนิท เพื่อจะชมเจดีย์แบบทองอร่ามด้วยตาซักครั้งในชีวิต  และเมื่อฟ้าเริ่มมืด เสียงสวดทั้งไทยและพม่าก็เริ่มดังขึ้น  ทุกคนมาที่นี่ก็มีเหตุผลของแต่ละคน ส่วนผม ขอมาซึมซับบรรยากาศโดยรอบ และบันทึกการเดินทางในชีวิตของผมแค่นี้ ผมพอใจละ





และเมื่อฟ้ามืดลง  เจดีย์ที่นี่สวยมากจริงๆ คนเริ่มมามากขึ้น  บางคนมาเพื่อสวดมนต์  คนไทยก็สวดเยอะมาก หลายกลุ่มมากที่มากัน ด้วยแรงศรัทธาที่หลั่งไหลกันมา ทำให้ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ และขึ้นชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่สวยที่สุดในโลกไปแล้ว  ซึ่งบอกเลยว่าจริง  และในไทยก็ยังไม่มีเจดีย์องค์ไหนใหญ่เทียบเท่าได้เลย






หลังจากที่เราดื่มด่ำกับบรรยากาศเรียบร้อย ก็ได้เวลากลับตัวเมือง โดยที่เราต้องเดินไปเอารองเท้า ผมขึ้นมาจากทางทิศใต้ ก็ต้องกลับทางเดิมเพื่อไปเอารองเท้า บริจาคค่าฝากไปอีก 1000 จ๊าด  แล้วก็เดินไปรอรถเมลล์ที่ป้ายรถเมล์  เพื่อขึ้นสาย 81 เพื่อจะไปลงใกล้ๆที่พักเลย แต่ปรากฏว่า รถไม่ไดไปตามแผนที่ที่แนะนำไว้ ทำให้เราต้องใช้ไหวพริบในการกดลง คือเจอตรงไหนที่คุ้นก็กดลงเลย






จากนั้นก็เดินสิครับ หาร้านข้าวไปด้วย เดินไปไม่นานเจอ ร้านเคเอฟซีที่พม่า  เลยขอจัดซักหน่อย จ่ายไป 4500 จ๊าด  แต่รสชาติซอสที่นี่จะมีกลิ่นเฉพาะของชาวพม่า  คือไม่ค่อยถูกปากว่างั้นเถอะ  แต่ก็กินจนอิ่ม  ก็เดินต่อไปที่เจดีย์สุเหล่ ไปถ่ายรูปแถวนั้นอีกนิดหน่อย






ก่อนจะเดินกลับที่พัก  คราวนี้แอร์ไม่ติดอีกแล้วว คราวนี้เราไม่ยอมละ ไปตามสตาฟ มาแต่คนละคนกัน มาแก้ ก็ไม่ได้เหมือนเดิม และคราวนี้เราเดินไปคุยกับ operation ว่าจะขอเปลี่ยนห้อง ถ้าไม่งั้นเราจะไปพักที่อื่น   เค้าก็เลยให้กุญแจมาอีกห้อง ซึ่งเป็นชั้น 3 


แต่ห้องนี้ดี สะอาดแล้วแอร์คือเย็นฉ่ำมากๆ  โคตรดี  คือนอนหลับสบาย  คืนพรุ่งนี้ไม่อยากไปพระธาตเรย 5555 เจอห้องแอร์เย็นๆเข้าไป  สำหรับค่ำคืนนี้ก็จบลงด้วยการนอนห้องแอร์เย็นฉ่ำสบายใจ 555

29.12.19


วันใหม่เริ่มต้นขึ้น วันนี้ก็เหมือนเดิม คือตื่นสายเหมือนเดิม เป้าหมายเราวันนี้ยังคงท่องเที่ยวอยู่ในเมืองย่างกุ้ง  ผมลุกขึ้นอาบน้ำ กินอาหารเช้าโรงแรมเสร็จ ก็เดินออกไปปากซอย แล้วขึ้นรถเมล์เพื่อที่จะไป ชเวตอเมียต ในวันนี้  เหมือนเดิม คือค่ารถเมล์แอร์ ราคาแค่ 200 จ๊าด เท่านั้น  แล้วก็ดู google map ไปด้วย



จากนั้นก็เดินไปตาม map ที่แนะนำ ปรากฏว่าพาผ่านหมู่บ้าน ตัดผ่านกลางหมู่บ้านเรยจร้า  แล้วไกลมาก เป็นกิโลๆ  มีแค่เราคนเดียวที่เป็นนักท่องเที่ยว สายตาชาวบ้านชาวพม่า มองมาที่เราเป็นสายตาเดียวกัน แต่ทำไงได้ มาแล้วก็ต้องไปให้ถึง  เดินไปก็เสียวเจอทางตัน บางที่ก็กำลังทำถนนใหม่  แต่ในที่สุดผมก็เดินมาจนถึง



เหมือนเดิมคือ ถอดรองเท้าไว้แต่ไม่ได้ถอดถุงเท้า ขึ้นไปถ่ายรูปโดยรอบ  ชาวบ้านเข้ามาทำบุญวัดนี้กันค่อนข้างเยอะ  แต่ส่วนใหญ่จะเข้าทางด้านหน้า แต่ผมเข้ามาทางด้านหลัง  พอผมเดินถ่ายวีดีโอไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากบนวัด  เมื่อผมหันไปมอง เหมือนพี่แกจะบอกให้เราถอดถุงเท้า  555+  

เราก็ถอด ก็ไม่รู้เนาะว่าจะต้องถอดถุงเท้าด้วย  แต่ก็ได้รู้ละ  ผมใช้เวลาที่นี่ประมาณ 1 ชม. แล้วก็เดินกลับ แต่คราวนี้ผมไม่ได้กลับทางเดิมแล้ว  กลับเส้นทางที่เป็นถนนหลักเพื่อขึ้นรถเมล์ไปวัดต่อไป  เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอร้านชาพม่าข้างทาง เป็นเพลิงธรรมดา  เราก็เลยอยากลองนั่งจิบชาบ้าง



ซึมซับบรรยากาศรอบข้าง อร่อยมากก  เค้าจะเอาชาซองมาให้ พร้อมกับน้ำรอน 1 แก้วให้เราเอาชาใส่ในแก้วเอง เมื่อนั่งกินจนหมด ก็จ่ายตังค์ ราคาแค่ 200 จ๊าดเท่านั้น  

ได้เวลาเดินทางกันต่อ  ต้องเดินไปรอรถเมล์ที่ป้าย  แล้วต่อรถเมล์อีก 2 ต่อ เพื่อไปยังวัดพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี ที่ยอดฮิตของคนไทย เมื่อเราไปถึง เหมือนเดิมคือ ถอดรองเท้าถุงเท้า แต่คราวนี้ไม่ฝากละ เอาใส่กระเป๋าเป้ตัวเองเลยจร้า   และอีกอย่างที่สำคัญคือวัดนนี้ฟรีจร้า ไม่มีค่าเข้าใดๆ แล้วแต่เราจะทำบุญเลย



วัดนี้ร่มเย็นดี ใช้เวลาเดินรอบๆไม่นานมาก  ประมาณ 1 ชม. ก็เพียงพอ แต่วัดนี้ทัวร์คนไทยลงเยอะจริง เป็นพระนอนหรือคนไทยเรียกหลวงพ่อตาหวาน  โดยรวมที่นี่ถือว่าสวยงาม และยังมีอีกวัดที่อยู่ใกล้ๆแถวนี้ ดีนะที่นั่งลงเปิดหาข้อมูลดูก่อน  วัดที่เราจะเดินไปต่อคือวัดพระเจ้างาทัตยี ชื่อคล้ายๆกัน คนไทยก็ชอบไปอีกเหมือนกัน เพราะอยู่ห่างกันไม่มาก แค่ข้ามฟากถนนไปก็ถึงแล้ว



ส่วนเรื่องข้อมูล ไม่ได้หาเอาไว้เลย 555  บอกเล่าแต่เรื่องราวการเดินทาง  เหมือนเดิม วัดนี้ก็เข้าฟรีเหมือนเดิม แต่จะเงียบๆกว่าวัดพระพุทธไสยาสน์นิดหน่อย  ใช้เวลาเดินดูที่นี่ ก็ไม่นานมากนัก ถ่ายรูปพอเป็นพิธี   ที่นี่รู้สึกว่าด้านหลังที่เป็นแบล็คกราวน์ จะทำจากไม้สักทั้งหมด  ก็เป็นอีก 1 ที่ ที่เมื่อมาถึงเมืองย่างกุ้งก็ควรจะมาให้ได้ซักครั้งกับที่แห่งนี้

ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับเมืองย่างกุ้งอีกแล้ว แต่นี่เพิ่งจะบ่าย 2 กว่าๆเอง ก็ออกไปรอรถเมล์ไปลง sule เหมือนเดิม  เพิ่มเติมคือเดินเข้าไปใน sule squared อารมณ์คล้ายๆกับ สยามแสควบ้านเรา ข้างในก็จะเป็นร้านอาหาร แล้วชั้นใต้ดินจะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต ไว้วันกลับจะมาซื้อชาพม่าที่นี่แหละ


จากนั้นก็ได้เวลากลับที่พัก  ตอนแรกว่าจะกลับไปกินมาม่าที่พัก แต่ลองหาอาหารโลคอลกินดีกว่า  ไปเจอ five star ไก่ย่าง 5 ดาว เลยลองซื้อลูกชิ้นกับจีบไก่มากินดู ราคาไม่แพงมาก  ไม้ละ 10 บาท แต่เดินไปเรื่อยๆกะลังจะเข้าซอยที่พัก เจอร้านก๋วยเตี๋ยวรัฐฉานขายอยู่  เห็นฝรั่งนั่งกินก็เลยลองดูบ้าง







ถ้วยละ 30 บาท หรือ1500 จ๊าด  แต่รสชาติถือว่าใช้ได้เลย ไม่ได้ถูกปากแต่กินได้  ชอบๆ  หลังจากกินเสร็จเรากลับเข้าที่พัก ไปอาบน้ำ นอนพัก เพราะคืนนี้ เราต้องไปขึ้นรถบัสแถวๆสถานีรถไฟ เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองไจ๊ทิโย่ว เพื่อขึ้นไปพระธาตอินแขวน โดยที่รถบัสเราจองออนไลน์ผ่าน 12go มาจากไทยแล้ว 

ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่  อาจจ่ายเพิ่มนิดหน่อย ดีกว่ามาหาเอาหน้างาน จากนั้นก็นอนหลับพักผ่อน ตื่นมา 6 โมงเย็น เตรียมตัว อาบน้ำเก็บของ เอาไปเฉพาะที่จำเป็น  แล้วก็เริ่มเดินไปตอน 2 ทุ่ม แต่ขึ้นรถ 4 ทุ่ม เพื่อไปหาก่อนว่ารถอยู่ที่ไหน  เดินไปตามแมพเรื่อยๆ พอมาถึงสถานีรถไฟจริงๆ เงียบมากก


และไม่เห็นจุดขายบัตร หรือจุดที่เป็นที่ตั้งบริษัทอะไรเลย คือมีแต่รถบัสจอดเต็มไปหมด แต่ไม่มีจุดขายตั๋ว หรือจุดที่ตั้งบริษัทอะไรเลยย  เอาล่ะทีนี้ ทำไงดีวะเนี่ย  เราขึ้นของ เอเชียดราก้อน  ก็เลยหารถที่เป็นของบริษัทนี้ แล้วเดินเข้าไปถามคนขับรถเลย  แล้วยื่นใบจองให้เค้าดู  เค้าก็งงๆ ว่ามาจากไหนประมาณนี้ จากนั้นเค้าเดินไปถามเพื่อนอีกคน แล้วเค้าก็มาคุยกะเราว่า 3 ทุ่มครึ่งให้มารอที่นี่  รถจะออก 4 ทุ่ม เป็นรถคนนี้ เค้าก็ชี้ให้เราดู  เราด็โอเคร  จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นฆ่าเวลา





เดินข้ามฝั่งไปเพื่อจะไปหาที่นั่ง ก็ไปเจอร้านขายชาหน้าโรงหนัง โรงหนังที่นี่คือคลาสสิคมาก ดูเอาเอง  สั่งชาพม่ามากิน  แต่ร้านนี้ขาย 10 บาท  ระหว่างนั้นเหมือนหนังเพิ่งฉายจบ คนออกมาจากโรงกันเต็มแล้วก็มานั่งที่ร้านนี้นี่แหละ  แต่ข้างร้านนี้มีบาร์อยู่ หรูหรามาก  ก็เลยลองเข้าไปนั่ง



ชื่อร้าน Babett bar เป็นบาร์ที่ต่างชาติมีเงินจะมานั่งกันนี่แหละ  เราเลยสั่งเบียร์สด คาร์สเบิร์คไปแก้วนึง  ราคาไม่แพงมากตกแก้วละเกือบๆ 1 ร้อยบาท  ราคาพอๆกะไทย เพราะเป็นเบียร์สด รสชาติมันก็จะนุ่มกว่า  แต่ที่นี่ตามร้านอาหารจะเซอร์วิส และvat แยกกัน จากราคาอาหาร คือราคาที่เห็นต้องเอาไปบวกอีก 15 เปอร์เซ็นต์ ก็จะเป็นที่ราคาเราต้องจ่าย







กินไป 1 แก้วแล้วก็ เช็คบิล เดินไปขึ้นรถสบายใจ พอเดินขึ้นรถ ก็จะมีพนักงานคอยมาตรวจตั๋วและแจกน้ำ และแล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่เมืองไจ๊ทิโย่วว  เพื่อไปให้ถึงพระธาตอินแขวนในวันพรุ่งนี้ การเดินทางจะเป็นอย่างไรต่อไป เดี๋ยวจะกลับมาเขียนต่อใน EP หน้าครับผม

Popular Posts

Facebook