เป็นแบ็คแพคเกอร์ ทั่วกรุงเทพมหานคร 1 วัน ใช้จ่ายเท่าไหร่ ?
บันทึกการเดินทาง ณ วันที่ 18.08.19
วันเสาร์นี้เป็นเสาร์ทำงาน ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะมาซักเท่าไหร่ แต่พอนึกได้ว่า ตอนเย็นนี้ ได้นัดกับเพื่อนๆไว้ว่าเราจะมาพบกันใหม่ บ้าบอ ปาจิงโกะ ก็คือนัดเพื่อนออกไปแฮงค์เอาท์คืนนี้ ในกรุงเทพย่านใจกลางเมือง นั่นก็คือ ถนนข้าวแสน เย้ยยย ถนนข้าวสาร แต่ก็นั่นแหละกว่าผมจะเลิกงานก็ 5 โมงครึ่ง
ครั้งนี้มันพิเศษกว่าครั้งอื่นตรงที่ เราจะออกไปนอนโฮสเทลกันด้วย ซึ่งอยู่ดีๆ ก็อยากเสียเงินขึ้นมาซะงั้นเอาล่ะเราวาร์ปไปตอนเลิกงานกันเลยดีกว่า พอเลิกงานปุ๊ป ผมเองก็กลับห้องไปเอากระเป๋า เอากล้องแล้วก็ลุยกันเลยยย โดยนัดเพื่อนไปเจอกันที่โฮสเทลก่อน กว่าผมจะไปถึงโฮสเทลก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าแล้ว โดยคืนนี้เราพักกันที่ OH BANGKOK HOSTEL คืนละ 162 บาท ซึ่งก็ไม่ได้แพงอะไรเกินไป
หลังจากที่ได้เจอกับเพื่อนทั้ง2คน ที่มาถึงก่อนผมแล้ว ก็เอากระเป๋าขึ้นไปจองเตียง แล้วก็ออกไป NIGHT LIFE กันดีกว่า ที่ถนนข้าวสาร แค่เราเริ่มเดินไป ก็รู้สึกได้ถึงความสนุกในค่ำคืนนี้แล้วว
เราเดินมาถนนข้าวสารประมาณ 800 เมตร หลังจากนั้นก็ได้เวลาสนุกสนานกับแอลกอฮอล์ พวกเราไม่รอช้า รีบเข้าเซเว่นแล้วจัดเบียร์กันคนละขวดกันเลย ขวดแรก จัดไฮเนเก้น แล้วเดินไปกินไป ยังไม่ทันพ้นเสาไฟฟ้า หมดขวดแรกแล้วจร้า เดินกลับไปซื้อเซเว่นเดินอีกขวด คราวนี้เดินป๋อเรยจร้า
เริ่มเดินไปซักพักก็ต้องหาจุดพัก จุดพักของเราคงจะหนีไม่พ้นร้านเหล้า แต่ร้านเหล้าแถวนี้ก็เยอะแยะไปหมด แต่ถ้าถามว่า ณ ช่วงเวลานี้ ณ ย่านข้าวสาร ร้านที่คนไทยมาเยอะที่สุด นั่นก็คงจะเป็นBrick Bar ซึ่งตอนที่เราไปเพิ่งจะ 2 ทุ่ม คนยังไม่เยอะมาก ต้องเสียค่าเข้า 200 บาท ไปแลกเครื่องดื่มด้านใน ซึ่งเราคิดว่าเบียร์ด้านในคงจะราคาประมาณ 100 บาท ไม่เกินนี้ ขวดเล็กอ่ะนะ นี่ก็ถือว่าแพงมากแล้วนะ
แต่พอเข้าไปถามพนักงาน ขวดละ 150 บาทจร้าา ซึ่งมันแพงกว่า 4-5 เท่า ผมมองว่ามันแพงเกินไป ถ้าเทียบกับบรรยากาศในร้านที่ได้มา คือเสียแพงก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ก็ควรจะมีอะไรที่มันพิเศษมากกว่าร้านเหล้าทั่วไป อย่างเช่น มีบาร์เทนเดอร์คอยชงเหล้า นี่ก็เป็นพนักงานธรรมดานั่นแหละที่มาชงเหล้า
เหมือนแค่ย้ายจากชงเหล้าที่โต๊ะมาชงที่บาร์แทน ไม่ได้ต่างกัน แต่ทำไมคนไทยถึงยอมเสียเงินราคาแพงเพื่อมายังบาร์แห่งนี้ อาจเป็นเพราะความนิยมเหมือนๆกัน ทำให้หนุ่มสาวมากันเยอะ และนี่คือข้อได้เปรียบของร้านนี้เลย คือประมาณว่ามามองสาวนั่นแหละ แต่เอาจริงๆ ถ้ามีร้านมาเปิดเหมือนกัน ราคาเท่ากันแต่ทำดีกว่า เชื่อว่าคนก็น่าจะไหลไปที่อื่นแทน
เอาล่ะ ไม่คิดไรมาก มา 3 คน แลกเบียร์ 4 ขวด ไม่บานปลาย ถ้าแลกเหล้าแสงโสมแบนละ 550 บาท แต่ค่ามิกเซอร์ น่าจะบานปลายไปไกล ถือว่ามาซื้อบรรยากาศฟังเพลง ประมาณนั้น
เมื่อกินเบียร์จนหมด 4 ขวด เราก็ออกมา เดินเล่นกันอีกรอบ โดยซื้อเบียร์กินเซเว่นเหมือนเดิม จัดไปอีก คนละ 2 ขวด คราวนี้ขวดที่ 3 ซื้อแล้วแอบเข้าไปกินในบาร์เรยจร้า แต่รอบนี้คนแน่นมาก ตั้งแต่ 5 ทุ่มไปนี่แน่นจริง เราก็เข้าไปฟังเพลงกันต่อ จนตี 1 ครึ่ง ผมขอตัวออกมากินข้าวก่อน แล้วเพื่อนก็ตามออกมาตอนตี 2 ผับปิดพอดี ออกมากินก๋วยเตี๋ยวหน้าถนนข้าวสาร แล้วก็เดินกลับโฮสเทล พร้อมเพื่อน
แต่ผมขอตัวเดินออกไปซื้อน้ำเปล่า ที่เซเว่นก่อน ให้เพื่อนเข้าที่พักก่อนเลย บังเอิญว่าหน้าเซเว่นมีข้าวขาหมูขายอีก ตอนนั้นคือกลัวแฮงค์จัดไปอีกจาน แล้วก็เข้าไปอาบน้ำนอน ปรากฏว่าตอนเช้าแฮงค์เหมือนเดิมจร้า 555
เช้านี้ เราไม่มีแพลนอะไรกันเรยว่าจะไปไหนทำอะไร ก็สรุปได้ว่าหาเดินเที่ยวแถวๆนี้แหละ แต่จุดหมายคือวัดพระแก้ว เช็คเอาท์แล้วก็เดินออกไปหน้าปากซอย ก็มีร้านปาท่องโก๋คาเฟ่ เป็นร้านที่ได้มิชลิน สตาร์อีกด้วย ก็เลยลองจัดบะหมี่แห้ง แล้วก็ปาท่องโก๋สังขยา เออ อร่อยดี ที่นี่เค้าเอาปาท่องโก๋มาย่าง มันก็เลยกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเจ๋งมาก
พอกินเสร็จมื้อเช้าก็เดินไปเรื่อยๆ ตามทาง หลงบ้าง ถามทางเค้าบ้าง ก็ไปเจอคลินิคนึง เป็นคลินิคที่รักษาฟรี ชื่อคลินิค เวชกรรมสุรัตน์ คือ มันมีอยู่จริงนะ คนที่ทำแบบนี้ ในสังคมแบบนี้ ถือว่าดีมาก การที่เราได้ช่วยเหลือเพื่อนมนูษย์ด้วยกันมันเป็นอะไรที่โคตรวิเศษเรย โดยมีการแจกอาหารฟรี ในตอนกลางวันด้วย ต้องยอมรับว่า เค้าเป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจที่ดีมาก
เรามาถึงประมาณ 11 โมง ครึ่ง ก็ต้องรอรอบ 12.00 เพื่อเข้าชมด้านใน พนักงานน่ารักมาก บริการสุดๆ ทั้งๆที่เราเข้าฟรี คือต้องชื่นชมพนักงานมากๆ ใจดี พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย เจ๋งมาก
ตื่นตาตื่นใจกับ 4D รอบห้อง นี่คือฟรี แถมดีอีกด้วยย ไม่ใช่การดูแบบน่าเบื่ออีกต่่อไป มีการจัดแสง จัดนู่นนี่นั่นให้น่าสนใจมากๆ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเอง
มีพนักงานให้ความรู้ตลอดเวลา คือประทับใจที่นี่จริงๆ
จากนั้นเราเดินต่อไปอีกนิด ก็เห็นวัดพระแก้วแล้ว แต่ข้างๆมีศาลหลักเมืองกรุงเทพ ก็เลยแวะเข้าไปชมเป็นสิริมงคล กันก่อน
ด้านในศาลหลักเมืองก็จะเป็นแบบนี้
ด้านนอกศาลหลักเมืองก็จะหน้าตาประมาณนี้
เริ่มเดินไปซักพักก็ต้องหาจุดพัก จุดพักของเราคงจะหนีไม่พ้นร้านเหล้า แต่ร้านเหล้าแถวนี้ก็เยอะแยะไปหมด แต่ถ้าถามว่า ณ ช่วงเวลานี้ ณ ย่านข้าวสาร ร้านที่คนไทยมาเยอะที่สุด นั่นก็คงจะเป็นBrick Bar ซึ่งตอนที่เราไปเพิ่งจะ 2 ทุ่ม คนยังไม่เยอะมาก ต้องเสียค่าเข้า 200 บาท ไปแลกเครื่องดื่มด้านใน ซึ่งเราคิดว่าเบียร์ด้านในคงจะราคาประมาณ 100 บาท ไม่เกินนี้ ขวดเล็กอ่ะนะ นี่ก็ถือว่าแพงมากแล้วนะ
แต่พอเข้าไปถามพนักงาน ขวดละ 150 บาทจร้าา ซึ่งมันแพงกว่า 4-5 เท่า ผมมองว่ามันแพงเกินไป ถ้าเทียบกับบรรยากาศในร้านที่ได้มา คือเสียแพงก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ก็ควรจะมีอะไรที่มันพิเศษมากกว่าร้านเหล้าทั่วไป อย่างเช่น มีบาร์เทนเดอร์คอยชงเหล้า นี่ก็เป็นพนักงานธรรมดานั่นแหละที่มาชงเหล้า
เหมือนแค่ย้ายจากชงเหล้าที่โต๊ะมาชงที่บาร์แทน ไม่ได้ต่างกัน แต่ทำไมคนไทยถึงยอมเสียเงินราคาแพงเพื่อมายังบาร์แห่งนี้ อาจเป็นเพราะความนิยมเหมือนๆกัน ทำให้หนุ่มสาวมากันเยอะ และนี่คือข้อได้เปรียบของร้านนี้เลย คือประมาณว่ามามองสาวนั่นแหละ แต่เอาจริงๆ ถ้ามีร้านมาเปิดเหมือนกัน ราคาเท่ากันแต่ทำดีกว่า เชื่อว่าคนก็น่าจะไหลไปที่อื่นแทน
เอาล่ะ ไม่คิดไรมาก มา 3 คน แลกเบียร์ 4 ขวด ไม่บานปลาย ถ้าแลกเหล้าแสงโสมแบนละ 550 บาท แต่ค่ามิกเซอร์ น่าจะบานปลายไปไกล ถือว่ามาซื้อบรรยากาศฟังเพลง ประมาณนั้น
เมื่อกินเบียร์จนหมด 4 ขวด เราก็ออกมา เดินเล่นกันอีกรอบ โดยซื้อเบียร์กินเซเว่นเหมือนเดิม จัดไปอีก คนละ 2 ขวด คราวนี้ขวดที่ 3 ซื้อแล้วแอบเข้าไปกินในบาร์เรยจร้า แต่รอบนี้คนแน่นมาก ตั้งแต่ 5 ทุ่มไปนี่แน่นจริง เราก็เข้าไปฟังเพลงกันต่อ จนตี 1 ครึ่ง ผมขอตัวออกมากินข้าวก่อน แล้วเพื่อนก็ตามออกมาตอนตี 2 ผับปิดพอดี ออกมากินก๋วยเตี๋ยวหน้าถนนข้าวสาร แล้วก็เดินกลับโฮสเทล พร้อมเพื่อน
แต่ผมขอตัวเดินออกไปซื้อน้ำเปล่า ที่เซเว่นก่อน ให้เพื่อนเข้าที่พักก่อนเลย บังเอิญว่าหน้าเซเว่นมีข้าวขาหมูขายอีก ตอนนั้นคือกลัวแฮงค์จัดไปอีกจาน แล้วก็เข้าไปอาบน้ำนอน ปรากฏว่าตอนเช้าแฮงค์เหมือนเดิมจร้า 555
เช้านี้ เราไม่มีแพลนอะไรกันเรยว่าจะไปไหนทำอะไร ก็สรุปได้ว่าหาเดินเที่ยวแถวๆนี้แหละ แต่จุดหมายคือวัดพระแก้ว เช็คเอาท์แล้วก็เดินออกไปหน้าปากซอย ก็มีร้านปาท่องโก๋คาเฟ่ เป็นร้านที่ได้มิชลิน สตาร์อีกด้วย ก็เลยลองจัดบะหมี่แห้ง แล้วก็ปาท่องโก๋สังขยา เออ อร่อยดี ที่นี่เค้าเอาปาท่องโก๋มาย่าง มันก็เลยกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเจ๋งมาก
พอกินเสร็จมื้อเช้าก็เดินไปเรื่อยๆ ตามทาง หลงบ้าง ถามทางเค้าบ้าง ก็ไปเจอคลินิคนึง เป็นคลินิคที่รักษาฟรี ชื่อคลินิค เวชกรรมสุรัตน์ คือ มันมีอยู่จริงนะ คนที่ทำแบบนี้ ในสังคมแบบนี้ ถือว่าดีมาก การที่เราได้ช่วยเหลือเพื่อนมนูษย์ด้วยกันมันเป็นอะไรที่โคตรวิเศษเรย โดยมีการแจกอาหารฟรี ในตอนกลางวันด้วย ต้องยอมรับว่า เค้าเป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจที่ดีมาก
หลังจากนั้นเราก็เดินไปเรื่อยๆตามทาง ก็ไปเจอ พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาป ก็เลยลองเดินเข้าไปถามว่าเข้าฟรีมั๊ยครับ เข้าฟรีจร้า แล้วก็มีพาเราเข้าชมด้านในเป็นรอบๆด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่าโคตรเจ๋ง บางคนพอได้ยินชื่อพิพิธภัณฑ์ ก็ไม่อยากเข้าละ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าเค้าพัฒนามาไกลแล้ว มีแอร์เย็นสบาย ให้เราเดินชมอย่างสบายใจ แนะนำให้คนไทยมาเที่ยวเยอะๆ
เรามาถึงประมาณ 11 โมง ครึ่ง ก็ต้องรอรอบ 12.00 เพื่อเข้าชมด้านใน พนักงานน่ารักมาก บริการสุดๆ ทั้งๆที่เราเข้าฟรี คือต้องชื่นชมพนักงานมากๆ ใจดี พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย เจ๋งมาก
ตื่นตาตื่นใจกับ 4D รอบห้อง นี่คือฟรี แถมดีอีกด้วยย ไม่ใช่การดูแบบน่าเบื่ออีกต่่อไป มีการจัดแสง จัดนู่นนี่นั่นให้น่าสนใจมากๆ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเอง
มีพนักงานให้ความรู้ตลอดเวลา คือประทับใจที่นี่จริงๆ
ที่นี่มีกรอกน้ำเย็นฟรี ผมไม่รอช้า กรอกน้ำเย็นเอาไว้กินระหว่างทางฟรีๆ แฮร่ๆ
จากนั้นเราเดินต่อไปอีกนิด ก็เห็นวัดพระแก้วแล้ว แต่ข้างๆมีศาลหลักเมืองกรุงเทพ ก็เลยแวะเข้าไปชมเป็นสิริมงคล กันก่อน
ด้านในศาลหลักเมืองก็จะเป็นแบบนี้
ด้านนอกศาลหลักเมืองก็จะหน้าตาประมาณนี้
และนี่คือด้านข้างวัดพระแก้ว ก็จะมีกระทรวงกลาโหม มีปืนใหญ่อยู่ด้านหน้า ก็ถ่ายรูปมาเป็นที่ระลึดซะหน่อย จากนั้นเราเดินข้ามไปที่วัดพระแก้ว ปรากฏว่าต้องแต่งกายให้เรียบร้อย กางเกงห้ามขาสั้น เราก็เรย อ้าวว อดเข้าจร้า แต่จริงๆจะมีกางเกงขายด้านหน้า แต่เราไม่เอา ถือว่าครั้งนี้เป็นประสบการณ์ นี่คือบทเรียนของการไม่ศึกษาเรื่องสถานที่มาก่อน ไม่เป็นไร ครั้งหน้ายังมี
เราเดินไปพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ด้านข้างวัดกันต่อดีกว่า เป็นพิพิทภัณฑ์ของ ร.5 เป็นตึกสีแดงๆ ข้างในเย็นฉ่ำแอร์มากๆ ก็เดินเข้าไปเที่ยวด้านใน ก็มีประวัติของ ร.5 มากมายอยู่ด้านใน ยังไงมาเที่ยวกันเยอะๆนะ
หลังจากที่เราเที่ยวเสร็จ ก็เดินไปแถวท่าพระจันทร์ย่านนี้ จะมีคนขายพระ เล่นพระเครื่องเต็มไปหมด แต่เราอยากหาของกิน ก็เลยนั่งเรือข้ามฝั่งไปท่าเรือวังหลัง วันนี้ถือว่าได้เที่ยวแทบทุกเขตใจกลางเมืองเลยนะเนี่ย โดยนั่งเรือประมาณ 3 บาท ของกินวังหลังถ้าให้นึกละก็ แน่นอนว่า ทุกคนคงเคยได้ยิน ซูชิวังหลัง ที่นี่คือต้นตำหรับ และเราจะลองเข้าไปดู
ปรากฏว่าคนล้นหลามมาก อะไรคนจะแน่นขนาดนั้น ต่อบัตรคิวยาวมาก ก็เลยออกไปหาอะไรกินข้างนอก ขี้เกียจรอ ก็ไปได้ข้าวหมแดงนายเอก ซึ่งเป็นร้านดั้งเดิมเปิดมาแล้ว 30-40ปี เห็นเค้าว่างั้นนะ
แต่ผมสั่งเกี๊ยวน้ำจร้า อร่อย แง่มๆ
หลังจากนั้้น เราก็ เดินเล่นแป๊ปนึงในย่านวังหลัง แล้วก็ข้ามเรือกลับไป ท่าพระจันทร์ เหมือนเดิม คราวนี้เห็นร้านเพลงอยู่ร้านนึง คือไม่ค่อยเห็นร้านแบบนี้มาก่อน เลยลองเข้าไปดูด้านใน ปรากฏว่า เพลงหายากเยอะมาก มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงขายด้วย มีแผ่นเสียงขายเยอะแยะไปหมด มีวงอินดี้ วงใต้ดินเพียบมากมาย แต่ราคานั้น 3-4 ร้อยบาท ต้องใจรักจริงๆ ชื่อร้าน น้อง ท่าพระจันทร์ ใครอยากหาเพลงหายากแนะนำมาที่นี่รับรองมีแน่นอน
จากนั้นก็ได้เวลากลับบ้าน โดยเราเรียกตุ๊กๆ ซึ่งเป็นการเดินทางคลาสสิคของไทยเลย วันนี้จะได้นั่งตุ๊กๆแล้ว ราคา 60 บาทจร้า ได้ฟีลการมาเที่ยวเมืองไทยสุดๆ จากนั้นต่อรถเมล์สาย 59 ไปอนุสาวรีย์ แล้วก็นั่งรถต้กลับเมืองทองจร้า เป็นอันจบการเดินทางในวันนี้ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด ทริปนี้ 990 บาท
ตีง่ายๆ 1000 บาท คุณก็สามารถเที่ยว กรุงเทพ ได้รอบทิศเลยจร้า แต่ผมไปหนักค่าเบียร์ เกือบ 500 บาทแหนะ ไหนๆกอยากแฮงค์เอาท์อยู่แล้ว ก็เลยไม่อยากไปคิดไรมาก เอาเป็นว่าแค่ได้ออกมาใช้ชีวิต มันก็คุ้มสุดละ ดีกว่าเก็บเงินเอาไว้ให้หมอ 5555 เอาไปใช้ซื้อความสุข ในวันที่ยังมีแรงอยู่ ในวันที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะเกิดมาเราไม่ได้มีไรติดตัวมาด้วย ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง ชีวิตคนอื่นช่างเขา ใช้ชีวิตในแบบของเราให้คุ้มค่าที่สุดก็พอ
แล้วเจอกันซักที่บนโลกใบนี้
หรือไปเจอกันที่
FANPAGE :: ONE-LIFE
IG:: One_life_thailand
BLOG :: www.art-one-life.blogspot.com