ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เชียงใหม่... ดินแดนล้านนาแห่งความสุข กับชีวิตสุด slow life EP.2

เชียงใหม่ ดินแดนสุดชิล

หลังจากตื่นเช้าขึ้นมากับวันที่ 2 ใน จ.เชียงใหม่ ซึ่งตื่นกันตั้งแต่6โมง  เพื่อเตรียมตัวแวนส์ มอไซต์ ไปเชียงดาว ที่มีระยะทางประมาณ เกือบ 100 กิโลเมตร

กำหนดการของเราคือ ออกเดินทาง 7 โมงเช้า และต้องถึง เชียงดาว ไม่เกินเที่ยง เพราะว่าไม่ได้จองที่พักล่วงหน้า ส่วนการติดต่อก็ยากซะเหลือเกิน โทรติดบ้างไม่ติดบ้าง "เลยตัดสินใจว่า ไปหาเอาข้างหน้านี่แหละ "   ถ้าไม่มีที่พักยังไง ซักเย็นๆก็จะลงมาหาที่พักข้างล่างเอา

ไปก่อนนะ Jao hostel



ไปแบบไม่รู้อะไรมันก็ดีไปอีกแบบ  ลุ้นดี!!  จากนั้น 7 โมงเช้าก็ได้เวลาแวนส์ ทันที
อากาศตอนเช้าจะเย็นมากๆ  ขับรถต้องใส่เสื้อกันหนาว2ชั้น ใส่ถุงมือ ใส่แว่นตากันลมอย่างดี
แต่ขอบบอกเลยว่า  หน้าชามากๆ   เพราะหมวกกันน็อคของเราเป็นแบบ Open air

พักซะหน่อย  หน้ามันชาๆ

หลังจากออกจากตัวเมือง เราก็จะเริ่มเห็นธรรมชาติมากขึ้น เริ่มลัดเลาะตามไหล่เขา
เป็นเส้นทาง มอเตอร์ไซค์ ที่ขับแล้ว  ได้บรรยากาศมาก  เพราะมีต้นไม้ มีท้องฟ้า และภูเขา ตลอดเส้นทาง  อากาศก็ค่อนข้างเย็น + กับแสงแดดยามเช้าทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาหน่อย

และมีบางช่วงที่ลัดเลาะตามป่าบ้าง  ซึ่งหนาวสั่นทุกครั้งที่ผ่านป่า ซึ่งเส้นทางผมคิดว่าปลอดภัยนะ   ถ้าขับขี่ด้วยความระมัดระวัง  ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด  เวลาเดินทางไม่ต้องคิดเยอะ!!
ไปเรื่อยๆ  เดี๋ยวมันก็ถึงเอง +++

เสพธรรมชาติ

เมื่อเดินทางมาได้ซัก2ชั่วโมง เราก็จะเริ่มเห็น ดอยหลวงเชียงดาวแบบ ลิบๆ แปลว่า เราใกล้มาถึงแล้ว!!
ต้องบอกเลยว่าทางขึ้นไปเชียงดาวนั้น  5555+    เกินจะบรรยาย

ดอยหลวงเชียงดาว  ลิบๆ

จากนั้นเราก็เริ่มเข้ามาในตัวหมู่บ้าน ซึ่งก็ยังหลงอยู่ดี   ถ้าเรามาถูกทางจะเจอด่านเจ้าหน้าที่ป่าไม้
เพื่อเก็บค่าเข้าอุทยาน แปลว่า การเดินทางขึ้นสู่เชียงดาวกำลังจะเริ่มขึ้น !!

ถ้าใครอยากได้ฟิวส์แบบ ยอดดอยหลวงเชียงดาวจริงๆ   ต้องTreakking 2วัน1คืน หรือการเดิน เท่านั้น!!
เป็นระยะเวลา 2 วัน 1 คืน เพื่อชมความงามแบบ360 องศา ที่ยอดดอยหลวงเชียงดาว
แต่วิธีที่ขับรถขึ้นนั้น อาจจะไม่ได้เห็นวิวแบบ 360 องศา  แต่ก็สวยงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว

หลังจากนั้น การเดินทางสู่ดอยหลวงเชียงดาวก็เริ่มขึ้น   ทางที่ขึ้นมีลักษณะชันและแคบมาก
ถ้าถามว่าอันตรายมั๊ย !!  อันตรายมากสำหรับผู้ที่ขับรถไม่แข็ง เพราะอาจทำให้เพื่อนร่วมทางเกิดอันตรายได้  ในทุกๆจังหวะเข้าโค้ง จะต้องบีบแตร!! เพื่อส่งสัญญาณเตือนว่ามีรถกำลังจะขึ้น จะลง นะ
และทางขึ้นฝั่งนึงจะเป็นไหล่เขาและฝั่งนึงจะเป็นเหวป่าสูงชัน  ในหน้าฝนอาจจะมีการลื่นไถลของรถ หรือดินสไลด์ได้  ควรระมัดระวัง!!

ไม่มีภาพเพราะ ลุ้นกับเส้นทางอยู่  5555+
แต่จริงๆไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น  แต่ที่เป็นไฮไลท์เลยคือ ความหนาวเย็น ที่แสงแดดส่องไม่ถึง
ในช่วงที่ขึ้นคือประมาณ 10 โมงกว่าๆ  แล้วข้างทางก็เป็นแบบป่าดิบๆ  อุณหภูมิน่าจะอยู่ประมาณ15-16 องศาได้นะ   ซึ่งอุณหภูมินี้มันจะสบายมาก ถ้าไม่ขี่มอไซค์ขึ้น

นรกชัดๆ มือเกร็ง ปากสั่น หน้าชา ปากชา ขาชา ไอ้นั่น!!ก็ชา   555+
ต้องลองซักครั้งนะผมว่า ช่วงที่ผมไปคือเดือน ธ.ค. อธิบายไม่ถูกจริงๆ รู้แต่ว่ามันสุดอ่ะ  ผมเคยไปภูกระดึงอุณหภูมิ 4 องศา ยังไม่เท่านี้เลย  ความรู้สึกเหมือนอะไรแหลมๆมันทิ่มเราตลอด

หลังจากผ่านตรงนั้นมาได้ และนี่คือสิ่งที่ธรรมชาติ ได้ตอบแทนนักเดินทางอย่างพวกผม
บ้านระเบียงดาว




บ้านระเบียงดาว

เมื่อเรามาถึงเราก็แวะไปถามที่พักกับทางที่พักสุดฮิต อย่างระเบียงดาวก่อนเลย
ปรากฏว่า  มีเต้นท์เหลือจร้า  โคตรโชคดี!!  good luck  ++ คนละ500บาทพร้อม อาหารเย็น1มื้อ
และอาหารเช้า พรุ่งนี้อีก1มื้อ ถือว่าคุ้มมาก


จากนั้นเราก็มานั่งฟังเพลง และนั่งดูวิวตรงหน้าตั้งแต่บ่ายจนถึง4ทุ่ม  เหมือนมนต์ที่โดนสะกดจริงๆ
ที่เราไม่เบื่อกับการนั่งดูภูเขาลูกเดิม 4-5 ชั่วโมง
 ต้องบอกก่อนว่า  รูปที่เห็น กับของจริงต่างกันมาก  ถ่ายยังไงก็ไม่สวยเท่าของจริง
และนี่ก็คือรางวัลที่ธรรมชาตินั้นได้มอบให้แก่พวกเรา ++

รางวัลที่ธรรมชาติมอบให้
ฟินไม่ฟินก็ดูนายแบบล่ะกัน 555+  ยังสงสัยจนถึงทุกวันนี้  มึงจะเอาหน้าสู้แดดเพื่อ ?


และไม่นานก็มีเพื่อนของพวกเรา มาสมทบชมความงามกันแบบพาโนรามา
ซึ่งทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันสวยกว่าในรูป หรือในเพจ ตามโซเชียลต่างๆที่เคยเห็นมา


เมื่อพระอาทิต์เริ่มจะตกดิน  อาหารเย็นก็พร้อมเสิร์ฟทันที
อาหารเย็นพื้นบ้าน + แสงเทียน + วิวแบบนี้ + ความสนุกที่เกิดการเดินทาง+เสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
ผมเองก็ประทับใจกับความรู้สึกแบบนี้จริงๆ


อาหารเย็นท่ามกลางแสงเทียน

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ฟ้าเริ่มมืดสนิท  และนี่คือไฮไลท์    แต่ก่อนจะถึงไฮไลท์
ก็มีการคุยกัน เล่นกัน รวมไปถึงการจิบเบียร์ที่ซื้อมาจากด้านล่างอีกนิดหน่อย เพื่อเพิ่มบรรยากาศ
ให้การคุย สนุกสนานยิ่งขึ้น ...

อากาศก็เริ่มเย็นมากขึ้นๆ ฟ้าก็เริ่มที่จะมืดสนิท  ไฮไลท์ก็คือเราจะเห็นดาว ที่นี่ได้ชัดเจน และสว่างมากๆ  ดาวที่เต็มทั่วทั้งท้องฟ้า จะมีครั้งไหนที่เราจะมีโอกาสชี้ดาวดวงนั้น แล้วพูดว่านั่นคือดาวอะไร ?
ผมมองว่า เมืองกรุง ที่ผู้คนต่างเร่งรีบ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยตึกระฟ้า
จะมีโอกาสมั๊ยที่จะมานั่งนับดาว หรือทำอะไรแบบนี้  ^^  เพราะชีวิตที่เร่งรีบ คิดแต่เรื่องงาน
คงยากเนอะที่จะได้ทำอะไรแบบนี้  แต่เมื่อเรามาถึงที่นี่  เหมือนปลดล็อคออกจากทุกสิ่งจริงๆ
ทิ้งเรื่องงานไว้ก่อน เรื่องเจ้านาย หรืออาจารย์ เกรด ทุกสิ่งทุกอย่าง ลอง ช่างแม่ง!!!ซักวันดู
แล้วจะรู้ว่าความสุขมันเป็นยังไง

ยิ่งคืนที่พระจันทร์มืด จะเห็นดาวชัดเจนมากๆ  ซึ่งสวยงามจริงๆ  กล้องถ่ายไม่ติดนะจ๊ะ
ต้องเห็นด้วยตาเท่านั้น !!





ฟังเพลงนี้ไปด้วย  กับบรรยากาศเงียบๆ ลมเย็นๆ ก็เข้ากันดี
และผ่านพ้นไปอีกวัน กับความสุขเพียงเล็กน้อย ความสุขในใจ
ที่ใช้เงินแค่เพียงเล็กน้อย แต่ได้มาซึ่งความทรงจำที่แสนงดงาม

เช้าวันที่3 ณ ดอยหลวงเชียงดาว


  แสงแรกของวันที่ 3  ช่างสวยสดงดงาม ผมตื่นมาด้วยเสียงกุกๆกักๆ พอออกจากเต้นท์มาเท่านั้นแหละ
เจอน้องมันถอดเสื้อผ้าออกหมด ท้าลมหนาว    เรื่องหน้าสู้แดดยังไม่หายเรื่องนี้มาอีกละ 555+        อากาศตอนเช้าจริงๆไม่ได้หนาวมากเท่าไหร่ แต่ก็สามารถพ่นควันได้นิดหน่อย

จากนั้นเมื่อฟ้าสว่างก็มีข้าวต้มร้อนๆ กาแฟโอวัลตินมาเสิร์ฟที่เดิม แต่ต้องไปเช้าๆเรยนะถึงจะได้ที่วิวดี
จากนั้นก็เดินสำรวจหมู่บ้านอีกนิดหน่อย และเตรียมตัวกลับ ตัวเมืองเชียงใหม่ ในช่วงสาย

ซึ่งผมกับเพื่อนแยกกันกลับคนละกลุ่ม ไว้ไปเจอกันที่ตัวเมืองเชียงใหม่
ซึ่งขากลับลงเขานี่แหละ ผมไม่ขับแล้ว  เข็ด!! ให้น้องมันขับไป  จนลงไปถึงข้างล่าง
มองย้อนกลับมา หมอกเต็มเขาไปหมด สวยมากจริงๆ

มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ด้วยความรวดเร็ว และเข้าพักกันที่นี่ ที่ โคอินซิเดนท์ โฮสเทล
คืนละ 200 บาท พร้อมอาหารเช้า

โคอินซิเดนท์ โฮสเทล

ที่นี่เราก็อยู่เหมือนบ้านอยากทำไรก็ทำ  แต่ก่อนอื่นขอพักผ่อนซักแป๊ป
และในช่วงเย็นเรามีทัวร์ ม.เชียงใหม่  อยากรู้ว่าเด็กเชียงใหม่เค้าอยู่ เค้ากิน เค้าเรียน เค้าใช้ชีวิตกันยังไง

อ่างแก้ว

   ใน ม.เชียงใหม่ มีอ่างแก้วอยู่ในมอ ซึ่ง สวยมากวิวแม่น้ำและภูเขา ที่สำคัญคือ สะอาด ไม่มีขยะเลย
และไม่มีลูกระนาด   มีไฟแดง และธนาคารอยู่ในมอเลย  แต่ตึกจะดูเก่าๆหน่อย ดูมีมนต์ขลังดี
เหมือนผลิตศิษย์ออกไปหลายสิบรุ่น  โดยรวมเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีอย่างที่คิดไว้ เพราะตอน ม.6
ผมเองก็อยากเข้าที่นี่เหมือนกัน ติดที่ไกลบ้านไปหน่อย  ไม่ได้ภูเขาเอาทะเลก็ยังดี ++

แต่มีตึกที่ผมชอบอยู่ตึกนึง เป็นตึกสถาปัต ดูเก๋มาก   บันไดรอบเป็นวงกลม  ห้องจะเยอะไปไหน

ตึกสถาปัตย์


หลังจากนั้น นึกขึ้นได้ว่านัดน้อง ม.ช. ไว้ เรยบอกให้น้องพาไปร้านนมเด็ดๆของเชียงใหม่
อยากรู้ว่าเด็กที่นี่เขากินอะไรกัน


Volcano
ร้านนี้แหละที่เด็ด  ราคาก็เด็ดเหมือนกัน  แต่สิ่งที่ไม่เหมือนที่อื่น ผมชอบอันนี้มากมันเป็น โทส ไส้ชีส
ซึ่ง ชีสเป็นซีส  ช้ินละ 60 บาท แต่อร่อยจริง!! หรือเราไม่เคยกินวะ
ชีสแม่งยืด  จนสามารถเอามาโดดหนังยางเล่นได้ แล้วมันเล่นกันจริงๆ  555+



จากนั้น เรามุ่งหน้ากลับไปที่ thinkpark ที่เดิม  เพื่อจะไปดูคอนเสิร์ตวงเดิม ที่นักร้อง น่ารักๆอ่ะ
แต่ก็ไปเจอวงอื่น ซึ่ง  เจ๋งกว่า



ซึ่งถือว่าคุ้มครับ ที่กลับมาอีกครั้ง  และรู้สึกอยากกินอะไรสักอย่างของเชียงใหม่ เลยทำให้นึกถึง ไก่ทอดเที่ยงคืน ซึ่ง ทอดทีเกือบ10กระทะ ขายดีจริงๆ ราคาก็แพงจริงๆ 555
 ก่อนกลับก็เลยแวะเข้าไปกินไก่ทอด   จากนั้นก็กลับที่พักเพื่อพักผ่อน เก็บแรงไว้ในวันพรุ่งนี้
โฮสเทลที่นี่ก็ถือว่าดีระดับนึง แต่ไม่อบอุ่นเท่ากับ Jao hostel



จิบโกโก้ร้อน
ก่อนจะนอนก็ขอจิบโกโก้ร้อนซะหน่อย จะได้หลับสบาย  จากนั้นก็ไปนอน เพื่อตื่นมารับกับวันที่4
ใน จังหวัด.เชียงใหม่


เช้าวันต่อมาเราเลือกที่จะทำบุญ ซึ่งตั้งใจจะทำบุญให้ครบ9วัด ซึ่งไม่ยากเลย เพราะวัดที่เชียงใหม่
เยอะมาก เริ่มต้นที่วัดที่4 วัดพันเตา

วัดพันเตา
วัดพันเตา สวยงามมากๆเลยทีเดียว เป็นวัดไม้โบราณซึ่งมีศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของเชียงใหม่อยู่แล้ว
ผสมผสานกันอย่างลงตัว


วัดพันเตา
จากนั้นก็ต่อด้วยวัดที่ 5 และ 6


วัดโลกโมฬี

วัดเชียงมั่น
รู้สึกเริ่มร้อนละนะ 555   เชียงใหม่เมื่อถึงหน้าร้อน นี่ ร้อนกว่าที่อื่นอีกนะเนี่ย แดดแบบว่า
แสบผิวอ่ะ  หลบร้อนซะหน่อย โดยมาถึงเชียงใหม่แล้วไม่มาร้านกาแฟก็ยังไงอยู่

ไป !!




เหมือนตี๋ใหญ่ มาแดกกาแฟอ่ะ !!   กาแฟ "รสนิยม" ชื่อดังของเชียงใหม่  มีหลายสาขามาก
ไปตรงไหนก็เจอ  ก็ถือว่าพอได้อยู่นะ 60-80 บาท เมื่อเทียบกับกาแฟที่ดี จากนั้นก็รู้สึกหิว และอยากกินของพื้นๆ ที่ชาวเชียงใหม่เค้ากินกันบ้าง   ไม่ใช่เอะอะก็ข้าวซอย  ไส้อั่ว

จัดไป  ผัดกะเพราจานนึง เจ๊!!

เยอะจริง ไข่ดาวฟรี
 ที่นี่ขายแบบไข่ดาวฟรี คือ จ่ายราคาเดียว จะเอาไข่ดาวหรือไม่เอาก็ได้  40บาท แต่เยอะมาก
กินไม่หมด  หลังจากอิ่มแล้วก็เลยตัดสินใจกลับไปเมา   เอ้ย กลับไปพักที่เดิม  Jao hostel
เอาของเก็บก็ต้องรีบ บิดไปที่ สวนราชพฤกษ์




ลงรถได้ไม่นาน ก็ต้องกลับขึ้นและไปต่อ นั่นคือ วัดพระธาตุดอยคำ เป็นวัดที่ 7 ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับอุทยานหลวงราชพฤกษ์  แต่ต้องบิดขึ้นเขาไปอีกหน่อย



วิวเมืองเชียงใหม่

ปิดทอง ไหว้พระ
หลังจากชมวิวเพลินๆ ก็เริ่มมืด เราจึงได้เวลากลับไป กลับไปถนนคนเดิน จ.เชียงใหม่
ซึ่งถือว่า เป็นไฮไลท์ของ จ.เชียงใหม่เลยฮับ  เพราะคนเยอะมากกกกก
จะเยอะไปไหน

ถนนคนเดิมเชียงใหม่
มาเดินตลาดที่นี่ เราจะเจอทั้งเกาหลี จีน ฝรั่ง ปนๆกันไป แต่จีนจะเยอะหน่อย
แต่จากที่ผมเดินทั้งตลาด  ผมก็มาสะดุด ให้กับผู้หญิงคนนึง  ที่เล่นไวโอลินประจำอยู่ที่นี่นั่นแหละ
ตอนแรกผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ถ้าเค้าไม่หันมาส่งสายตาหวานฉ่ำแบบนั้น
น่ารักอ่าาาา

ผมรีบกินข้าวเข้าที่พักเพื่อค้นหาทันทีว่าเค้าเป็นใคร  ?
เค้าชื่อน้องโฮป  เล่นไวโอลิินเปิดหมวกที่นี่ประจำ ใครไปเชียงใหม่ หรืออยู่เชียงใหม่ก็ต้องเจอเธออย่างแน่นอน ผมมีรูป ในเนตมาฝาก

น้องโฮป ไวโอลิน 
ร่ำลาค่ำคืนนี้ไปด้วยเสียงไวโอลินของเธอ


Popular Posts

Facebook