ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2562

เขื่อนเชี่ยวหลาน 2 วัน 1 คืน ด้วยงบ 2700


บันทึก การเดินทาง ณ วันที่ 07-08.09.19



สวัสดีพี่ๆน้องๆ ทุกท่านกลับมาอีกครั้ง กับการเดินทางครั้งใหม่ ซึ่งครั้งนี้ เรามีสมาชิกร่วมเดินทางกันถึง 6 คนเรยทีเดียว  โดยเรานัดเจอเพื่อนและน้องๆกันที่ สนามบินดอนเมือง เราเลือกบินกันที่ไฟล์ทเช้าสุด
นั่นคือ 7.10 ซึ่งเหมือนเดิม เรามาซื้อตั๋วเอาหน้างาน



และที่ตื่นเต้นคือ ตั๋วเต็ม ต้องรอหมดเวลาเช็คอินก่อน ถึงจะรู้ว่าจะได้ไปมั๊ย ซึ่งก็ต้องบอกให้สมาชิกเข้าไปก่อน แล้วเราจะตามไปทีหลัง  เพื่อนก็คง งงๆ ว่าอ้าว ไม่ได้จองมาหรอ 555
แต่ก็เอาเถอะ หลังจากผ่านเวลาเช็คอินมา ปรากฏว่าโชคยังเข้าข้าง เรายังได้ไปต่อ 
แต่จะไปขึ้นเครื่องทันมั๊ย นั่นอีกเรื่อง เพราะเหลือเวลาเพียง 40 นาทีเท่านั้น แล้วเกตจะปิดก่อน 20 นาที ทำให้เราต้องด่วนแบบสุดๆ ซื้อตั๋วมาในราคา 425 บาท แล้วก็ไปโหลดกระเป๋ากันเรย ณ วินาทีนี้ คือต้องวิ่งอย่างเดียวครับ  การวิ่งออกกำลังกายมันเห็นผลวันนี้แหละ 

เพราะเราได้เกตที่ไกลที่สุดของดอนเมือง ระยะทางผมว่ามีครึ่งกิโลได้ กับเวลาที่เหลือไม่ถึง 10 นาที
เพื่อไปให้ถึงหน้าเกต วิ่งสู้ฟัดสิค๊าบ  ขนาดว่าบันไดเลื่อนที่คอยย่นระยะทาง ผมนี่วิ่งแซงแบบไม่เห็นฝุ่นกันเรยทีเดียว  ผมใช้เวลา 5 นาทีเท่านั้น ในการวิ่งมาถึงหน้าเกต และเรามาถึงคนอื่นขึ้นเครื่องกันไปแล้ว
แต่โชคดีที่เกตยังไม่ปิด สรุปทริปนี้ผมได้ไปต่อ





ใช้เวลา 1 ชม. ก็มาถึง จ.สุราษ ซึ่งเราเคยมาที่นี่กันแล้ว 1 ครั้ง เมื่อปีที่แล้ว เพื่อไปฟูลมูนปาร์ตี้
ครั้งที่แล้วเรามานอนสนามบินกัน มานอนกันที่ร้านนี้แหละ ที่ซุกหัวนอนผมตอนนั้น


แต่ครั้งนี้เรามาอีกฝั่งของสุราษกัน นั่นคือฝั่งเขื่อนเชี่ยวหลาน  และเมื่อเรามาถึง รับกระเป๋าเสร็จ เราก็เดินไปรับรถกัน รถที่จองเอาไว้คือ อัลเมร่า รุ่นใหม่ เช่าในราคา วันละ 800 บาท เราเช่า 2 วัน





เมื่อคนพร้อม รถพร้อม แต่เสบียงยังไม่พร้อม ก็ไปซื้อสิค้าบ ลุยกันเลย
มุ่งหน้าสู่ตลาดสด ซื้อเบียร์ 1 ลัง ของสดไปทำกินบนแพ แก๊สกระป๋อง และอย่างอื่นอีก มากมาย เพื่อเตรียมขึ้นแพกันครับผม ใช้เงินซื้อของสดและเบียร์ไป พันกว่าบาท ตอนนี้ได้เวลาเดินทางสู่เขื่อนเชี่ยวหลาน  แต่เราจะหาแวะกินมื้อเช้ากันก่อน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีร้านใดๆที่ถูกใจเรา




จนขับเข้าเขื่อนเชี่ยวหลาน ก็มาจอดซื้อของสด อีกรอบ หน้าทางเข้าเขื่อน ซื้อมะนาว หอมใหญ่เพิ่ม
จากนั้นขับเข้าเขื่อนครับผม เราต้องเข้าไปจอดในที่จอดรถ ฝากรถข้ามคืน คืนละ 80 บาท
แล้วก็ขนสัมภาระ ไปซื้อตั๋วเรือ เพื่อออกไปแพนางไพร จากเดิมที่ดูมาราคา 2000 บาท
แต่พอมาหน้างานกลับเป็น 2500 บาท ตอนแรกคิดว่าโดนโกง แต่พอหันไปดูป้าย เขียนชัดเจนว่า 2500  ก็เลยยอมจ่ายกันไป เหมาลำ 6 คน  จ่ายกันเสร็จสรรพ ได้เวลาหาข้าวกิน





ตอนแรกที่เห็นมีแค่ร้านอาหาร แต่เราต้องการถูกกว่านั้น มีข้าวแกงหลบมุมอยู่ รสชาติอร่อยอยู่นะ
หรือว่าหิวกันก็ไม่รู้ จ่ายกันไปจานละ 40 บาท  จากนั้นเริ่มถามแม่ค้าแถวนั้นว่าที่แพมีอะไรขายบ้าง แม่ค้าบอกว่าถ้าจะซื้ออะไร ให้ซื้อจากบนฝั่งไปเลยเพราะบนแพ แพงมาก เราก็เลยปรึกษากันว่าเอาไงดี

ตัดสินใจขับรถกลับไป ซื้อน้ำแข็งกระสอบด้านนอก อีก 1 กระสอบ 50 บาท และไปซื้อข้าวมื้อกลางวัน เป็นลาบ คอหมูย่าง ข้าวผัด ส้มตำ ข้าวเหนียว ใส่กล่องไปกินบนแพ  อีก 365 บาท




จากนั้นก็ขับกลับเข้ามาใหม่ กว่าจะได้ไป ปาเข้าไปเที่ยงกว่า เกือบบ่ายละ แต่เราไม่ค่อยรีบอยู่แล้ว เมื่อมาถึงก็ขนของขึ้นเรือ เสียค่าเข้าอุทยาน ค่าธรรมเนียมเรืออีก คนละ 40 บาท  กว่าจะได้ออกเรือ เสียหลายต่อจัด ตอนแรกคิดว่าใกล้ๆ แต่จริงๆแล้ว เป็นชั่วโมงเลย กว่าจะถึง ระหว่างทางคนขับเรือก็จะให้เราถ่ายรูปดื่มด่ำกับธรรมชาติ จอดให้เราถ่าย จนกว่าเราจะพอใจ แล้วก็มุ่งหน้าสู่แพนางไพร






จนเมื่อเรามาถึงแพนางไพร เราขึ้นไปติดต่อที่พัก ปัญหาก็เกิดขึ้น เนื่องจากเราไม่ได้ปริ๊นหลักฐานการจองอะไรมาเลย อันนี้เป็นความผิดพลาดของเราเต็มๆ และที่นี่ไม่มีสัญญาณใดๆทั้งสิ้น ทำให้เราถูกตัดขาดจากโลกภายนอก  ทางเดียวคือต้องรอ คนเรือจากข้างนอกเช็คยอดเข้าพัก แล้วมาบอกที่นี่ ซึ่งก็ต้องรอนาน  ตอนนั้นได้แต่คิดว่า ทำไมการทำงานของเจ้าหน้าที่ถึงไม่เป็นทีมซะเรย แล้วอย่างนี้จะจองออนไลน์เพื่ออะไร ในเมื่อทีมบนแพไม่รับรู้อะไรเลยเกี่ยวกับห้อง ต้องรอลูกค้ามายื่นหลักฐานเอง
แล้วทีมบนฝั่งก็น่าจะบอกว่า เออ คุณต้องเอาหลักฐานไปให้ทางบนแพดูด้วยนะ อะไรประมาณนี้เราก็จะได้รู้ แต่นี่ไม่เลย เหมือนต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ตัวเอง แต่มันมีช่องโหว่อยุ่ตรงกลางไง เพราะผมจองออนไลน์ที่ไหน ก็ไม่เคยต้องปริ๊นหลักฐานไปให้ดูซักครั้ง เพราะมันมีชื่อเราอยู่ในระบบอยู่แล้ว นึกออกป่ะ
ไม่ว่าจะเป็นดอยอินทนนท์ หรือภูกระดึง หรือตามอุทยานต่างๆ ก็ไม่เคยมีปัญหา 

จริงๆพอคุณรู้ว่าปัญหาแบบนี้มันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ก็ควรหาวิธีแก้ง่ายๆ โดยให้ทีมบนฝั่งบอกลูกค้าที่จะมาแพนางไพร ให้เตรียมหลักฐานให้เรียบร้อยตั้งแต่บนฝั่ง เพราะไปที่แพไม่มีสัญญาณนะอะไรก็ว่าไป แล้วไม่ใช่แค่กลุ่มผมกลุ่มเดียว ที่เจอ ยังมีอีกกลุ่มนึงก่อนหน้าผมก็ไม่มีหลักฐานเหมือนกัน ยังนั่งรอกันอยู่
เห้อออ  เพลียกับการทำงาน ระบบมันง่ายมากเรยนะ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงยังไม่แก้ปัญหา  แต่ดีนะที่ มีสมาชิกบางคนมีหลักฐานในไลน์บ้าง ในแชทบ้าง ก็ให้เค้าดูกันไป 

ไม่ค่อยเป็นมืออาชีพ อันนี้ขอพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม 


เอาล่ะ พอเราได้ห้องก็ไม่รอช้า วางกระเป๋า เปลี่ยนชุด เปิดเบียร์ แล้วก็โดดสิครับ จะรออะไร เบียร์เย็นๆกับวิวที่อยู่ตรงหน้า คืนละ 400 บาทแม่งคุ้มมากอ่ะ ที่นี่เป็นอีกที่ที่สะกดผมไว้ รองๆจากเชียงดาวเลยล่ะครับ ตอนอยู่เชียงดาว นั่งมองภูเขาลูกเดิมลูกเดียว ตั้งแต่บ่าย3 ยัน 4 ทุ่ม คือเราไม่เคยเห็นธรรมชาติแบบนี้มาก่อนเลย สวยมากกก  ณ วันนี้ กิจกรรมไม่มีไรมาก กิน  โดดน้ำ กินเบียร์ พายคาายัค จบละวันนี้ 
เวลาก็ผ่านไปไวเหลือเกิน ลืมเรื่องโทรศัพท์ไปได้เลย ไม่มีการมานั่งจิ้มแน่นอน ไม่มีสัญญาณ ตัดขาดของจริง  ก็อยู่ได้ แถมมีความสุขดีด้วยยย โคตรชอบฟีลนี้ 






พอบ่ายหน่อยก็ แกะข้าวกลางวันกินกัน กินเสร็จไปเล่นต่ออีก ชีวิตแม่งต้องแบบนี้ดิวะ โคตรชิล พอฟ้าจะเริ่มมืด ก็เริ่มทำอาหารเย็นกัน โดยมีเมนูยำมาม่า และ ต้มยำปลากระป๋อง แซ่บมากก เพราะทำเอง5555


กินกันไม่หมด เพราะทั้งอาหาร ทั้งขนม ทั้งเบียร์ มันเยอะมากไหนจะยำคอหมูย่างกับคะน้าหมู ที่เก็บเอาไว้ตอนเย็น ทำให้เมนูตอนเย็นมหาศาลมาก เรียกได้ว่าไม่มีอด  ทั้งแพ มีกลุ่มผมกลุ่มเดียวที่ไม่สั่งอาหารบนแพเรย นอกนั้นเค้ากินบนแพกันหมด ทางแพ คิดค่าอาหาร 3 มื้อ หัวละ 700 บาท ถ้าเรามา 6 คน ก็ 4200 แล้วอ่ะ  แต่อาหารที่เตรียมมา รวมเบียร์1ลัง รวมขนมอาหาร 3 มื้อเหมือนกัน ไม่ถึง 1500 บาท



นี่คือการท่องเที่ยวในแบบของผมเลย พอ4ทุ่มเบียร์ก็หมด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกอย่างหมดเกลี้ยง ก็ได้เวลาอาบน้ำนอน ที่นี่มีพัดลมในห้องนะ แต่เปิดได้ถึงเที่ยงคืน เพราะปั่นไฟแค่เที่ยงคืน 
สุดท้ายวันนี้ก็หมดไป 


08.09.19




เช้าวันรุ่งขึ้น ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำตอนตี 5 อากาศดีมาก กะว่าจะมานอนข้างนอกรับลมคนเดียวละ กลัวคนอื่นตกใจคิดว่ามานอนตายอยู่บนทางเดินอีก 555 เลยกลับไปนอนห้องเหมือนเดิม แล้วลุกขึ้นมาใหม่ 6 โมงเช้า ออกมาสูดอากาศ โคตรดีเลย พอเห็นว่าอากาศดี ก็เอาคายัคออกไปสำรวจกันซะหน่อย เกือบ ชม.ได้ จนแดดส่องตูดละ เลยกลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนชุด ต้มน้ำร้อน แจกจ่ายโจ๊กคัพ มาม่าคัพกัน อย่างฟิน มีกลุ่มเรากลุ่มเดียวที่ทำแบบนี้ กลุ่มอื่นขึ้นไปกินผัดผัก ไข่เจียว ข้าวต้ม กันอยู่ข้างบน 555







งบกองกลางคนละ 1,500 บาท แต่พาทุกคนมาได้จนถึงจุดนี้ แม่งคุ้มแล้วว่ะ











เก็บของแล้วไปเขาสามเกลอกัน หรือว่ากุ้ยหลินเมืองไทยนี่แหละ จริงๆมันอยู่หน้าที่พักเรามาโดยตลอด แต่เราไม่รู้ 5555 ก็นั่งถ่ายรูปกันไปจนฟิน ก็ขับออกมาจากเขื่อนมาถึงฝั่งประมาณ 10 โมง 
ทุกคนยังไม่มีใครหิว ก็ไปเที่ยวกันต่อ ไปเอารถ เปิดแอร์ให้ฉ่ำ เปิดเพลงฟัง แล้วตะลุยไปในสุราษ
เพราะขึ้นเครื่อง 3 ทุ่ม ยังมีเวลาเหลืออีกบาน  ไปกันเรยจร้า



ที่แรกที่ไป คือ สะพานแขวนเขาเทพพิทักษ์ อยู่ไม่ไกลจากเชี่ยวหลาน  เสียค่าจอด 10 บาทแค่นั้น ลงไปถ่ายรูป เดินซื้อของกัน




แต่เห็นเพื่ออนสั่งไอติมถั่วตัด ไอติมไข่เค็มเออ คงจะเป็นของดีสุราษแน่นอนเลย  แต่ไม่ได้สั่งกินหรอก มันหวานไม่ค่อยชอบเท่าไหร่







หลังจากนั้นก็แวะไปที่เที่ยวต่อไป บ้านน้ำราด หรือ ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราดนี่เอง ถ้าใครเสริชใน กูเกิล คือมันสวยมาก และเราหวังว่าจะได้เห็นแบบนั้น จับจีพีเอสแล้วขับไป ประมาณเกือบ 30 กิโล ลัดเลาะผ่านสวนยาง สวนปาล์มชาวบ้านไปเรื่อย จนคิดว่านี่มันมาถูกหรือเปล่าวะเนี่ย แต่สรุปคือ พามาถูกนะ 
เสียค่าจอด 20 บาท เสียค่าเข้าอีกคนละ 10 บาท แต่ที่นี่กฏเยอะมาก ห้ามเอากระเป๋าเข้าไป ให้ได้แค่กระเป๋ากล้องเท่านั้น ห้ามเอาบุหรี่ ของกินใดๆเข้าไปเด็ดขาด เออ เพิ่งเคยเจอนี่แหละ

เดินเข้าไปไม่ไกลก็เจอละ แต่น้ำมันขุ่นเนื่องจากวันนี้วันอาทิตย์คนมากันเยอะ แต่ก็ยังพอมองออกว่า ถ้าไม่มีคน น้ำจะใสขนาดไหน  มาถึงก็ไม่รอช้า ถอดลองเท้า เอาตีนจุ่มน้ำให้ปลาตอด เออ ชิลดี ธรรมชาติสัสๆ  เราก็ไปเห็นเค้ามีพายเรือ สำรวจป่าต้นน้ำ คนละ 40 บาท ก็เลยพากันไปพาย พายกันนานเหมือนกัน เป็น ชั่วโมงได้ เรียกได้ว่าคุ้มมาก ธรรมชาติด้านใน ก็ธรรมชาติสุดๆ น้ำใสดี



แต่ที่เป็นที่สนใจ คงเป็นการพายเรือ นี่แหละ เพราะมันพายยากมาก เข้าใจคนสมัยก่อนเค้าพายขายของได้ยังไงกันนะ พายยังไงก็หมุนวนอยู่นั่นแหละ 5555 แต่ก็สนุกดี ชอบๆ เกิดการเรียนรู้ดี


หลังจากพายเสร็จ ก็เดินออกมากินข้าวด้านนอกกัน เป็นอาหารตามสั่ง จานละ 50 บาท 6 คน ก็ 300 บาท  ค่าใช้จ่ายที่กล่าวมาคือ ใช้กองกลางจ่ายทั้งหมดครับ รวมถึงโรตี ที่กำลังจะเดินไปสั่งนี้ด้วย 555


กินข้าวกันเสร็จ เดินออกมาสั่งโรตีกันคนละอัน ถ้าใครจำได้คือไม่ว่าผมจะไปเที่ยวไหน จะชอบสั่งโรตีกิน ไม่รุเป็นโรคจิตอะไรเหมือนกัน แต่พอมาเห็นในชีวิตประจำวันไม่สั่งกินหรอก ต้องไปเที่ยวถึงจะกิน เออ ก็แปลกดี






หลังจากนั้นฝนก็เทลงมาจร้า  ก็เลยให้ไปหลบในรถกันก่อน ส่วนเราขอสูดกลิ่นโรตีกันต่อไป 555
แล้วก็ไปนั่งกินกันในรถ แล้วก็ไปแหล่งท่องเที่ยวต่อไป คือ คลองน้ำใส คือ เป็นคลองจริงๆ เสียค่่าจอด 20 บาท และเสียค่าเข้าคนละ 10 บาทเหมือนเดิม พอเข้าไป สิ่งที่เห็นคือคนเยอะมาก แต่พอเดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ น้ำก็เริ่มใสขึ้น ใสขึ้น ใสจนเหมือนสระมรกตเลย เออ แปลกมาก อันนี้ใสจริง โคตรชอบอ่ะ 
อยากโดดมาก ถ้ามีเวลาอีกซักวัน หรือ มีเวลาแบบอิสระ จะอยู่เล่นมันทั้งวันไปเลย

แต่เราแค่เข้ามาดูมาสัมผัสก็โอเคแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาบ่าย 3 กว่าแล้ว เราเหลือที่เที่ยวสุดท้ายนั่นก็คือ 
ภูเขาทรายเหมืองแกะ ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. ก็ถึง 
แต่กว่าจะถึง ทุกลักทุเล เหมือนกัน เพราะฝนตกตลอดทาง แล้วทางต้องลัดเลาะหมู่บ้าน จอดถามทางตลอด ผ่านเข้าป่าสวนยางใครบ้างก็ไม่รู้ ไม่มีป้ายบอก จีพีเอสพามาถูกหรือเปล่าก็ไม่รุ




แต่สุดท้ายเราก็มาจนถึง แม้ฝนจะตก ก็ไม่อาจหยุดการเดินทางของเราได้  พอมาถึง อึ้งตรงที่มันสูงมา ประมาณ 20เมตรได้ ขึ้นทางนี้ไม่ได้แน่นอน ต้องเดินไปทางด้านซ้าย ไต่ภูเขาทรายขึ้นไป ระหว่างทางที่ขึ้นไป ก็จะเจอรูเยอะแยะมากมาย ไม่ต้องตกใจ มันเป็นรูของงูนั่นเอง ใครไปก็ระวังกันด้วย 
แต่โดยทั่วไป งูจะไม่ออกมาตอนกลางวัน จะออกหากินกลางคืน เราก็จะไม่เจองูในช่วงกลางวัน แต่ก็อย่าเอามือไปล้วงละ ถ้าอันนั้น เจอแน่นอน 555





พอขึ้นมา วิวดีสัส อุทานออกมาเป็นแบบนั้นเลย คือวิวภูเขาด้านหลังแม่งโคตรดี  คือโดยรวมของทริปนี้แม่งดีมาก  มันคุ้มค่ากับการเดินทางมากว่า 60 กิโลเมตร อยู่กันเกือบ ชั่วโมงได้เวลากลับ ตอนนี้ก็จะ 6โมงเย็นแล้ว กลับสนามบิน ระยะทาง 60 กิโลเหมือนกัน


ก่อนถึงสนามบินเราก็แวะกินบะหมี่ข้างทาง ซื้อเบียร์มากินอีกคนละกระป๋อง เชรดดด โคตรฟิน จ่ายไป500 มั้ง ทั้งเบียร์และก๋วยเตี๋ยว  จากนั้นเติมน้ำมันให้เต็มถึง แล้วกลับสนามบิน มาถึงสนามบิน 1 ทุ่มตรง เป็นเวลาคืนรถพอดี  คืนรถเสร็จ เข้าไปแฮงค์เอาท์กันในสนามบินต่อ กันอีกคนละขวด เพราะยังเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ชม. ก่อนจะบิน ก็คุยกันเรื่อยเปื่อย เรื่องความรู้สึกของทริปนี้ ดูหน้าทุกคนก็น่าจะรู้ว่ารู้สึกยังไงกัน  รู้สึกเมาล่ะ แน่ๆละ 1 อย่าง 555+



 ประมาณ 2 ทุ่ม ก็เข้าไปรอหน้าเกต  3 ทุ่มก็บินกลับ กทม. 4 ทุ่มถึงดอนเมือง กลับถึงห้อง 5 ทุ่มเกือบเที่ยงคืน

กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนพอดีจร้า เป็นทริปที่สนุกอีกทริปนึงเลยทีเดียว ใช้เวลา 2 วันได้แบบโคตรคุ้มค่า
ผมแม่งฟัง จนผมโคตรเบื่อแล้วว่ะ ไอ้คนที่บอกว่า แค่ 2 วันจะไปไหนได้  คือ มันไปได้เว้ยยย
อยู่ที่มึงจะไปหรือเปล่าแค่นั้นเอง  แค่อย่านอนตื่นสาย เวลาแม่งก็เหลือถมเถละ 5555


:: 2,670 บาท ::

:: ราคานี้มีอะไรบ้าง
- ค่าเครื่องบิน ไป-กลับ 870 บาท (ตั๋วโปร)✈️
- ค่าแพนางไพร 400 บาท หาร2 เหลือ 200 บาท🏝
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 100 บาท

เป็นเงินกองกลางที่ใช้รวมกัน คนละ 1,500 บาท
สมาชิก 6 คน เป็นเงิน 9,000 บาท
เงินจำนวนนี้ครอบคลุมอะไรบ้าง

- เรือไป-กลับ แพนางไพร (2500บาท)⛵️
- เช่ารถขับเองพร้อมน้ำมัน 2 วัน (2100บาท)🏎
- อาหาร ทุกมื้อทั้ง 2 วัน
- ขนม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอดทริป🍻
- ค่าเข้าอุทยาน
- ค่าจอดรถ ทุกสถานที่
- ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ
- ค่าพายเรือป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด🚣‍♂️

ที่ท่องเที่ยวสุราษตลอด 2 วัน 1 คืน

- เขื่อนเชี่ยวหลาน
- แพนางไพร
- เขาสามเกลอ
- สะพานแขวนเทพพิทักษ์ ภูเขารูปหัวใจ
- ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด
- คลองน้ำใส
- ภูเขาทรายเหมืองแกะ (unseen)

ประมาณนี้ครับผม😀
-------------------------------------

เอาไว้เจอกันซักที่บนโลกใบนี้ครับผม




Popular Posts

Facebook