ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

อีต่อง "เมืองที่แสงแดดส่องไม่ถึง" แม่ง!! โคตรคูลล



สวัสดีๆๆๆ  เพื่อนๆ พี่น้องทุกคน  วันนี้จะมาเล่าเรื่องราวการเดินทางของผมอีกทริปนึง

ที่ผมได้ประสบพบเจอมา กับ เมืองที่ได้ชื่อว่า "เมืองแห่งสายหมอก"

เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ติดชายแดน ไทย-พม่า

เมืองในหุบเขา  เมืองที่มีหมอกลงตลอดเวลา

ที่นี่มีชื่อว่า หมู่บ้าน  อีต่อง  .... ทำเหมือง ปิล็อก

ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปกันเร๊ยยยยย......








เริ่มต้นกันด้วยสิ่งนี้ สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า เบียร์......

สายชิล รู้กันอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดเยอะ

เริ่มต้นเดินทางจาก กทม. ไปจนสุดสาย ชายแดนไทย-พม่า เป็นระยะทาง 360 กว่ากิโลเมตร

แน่นอน ทริปนี้ ผมเดินทาง โดยรถส่วนตัว 

แต่ผมก็มี ข้อมูลคร่าวๆ สำหรับ รถสาธารณะเหมือนกันน้า

 รายละเอียดการเดินทาง 

-   รถตู้สายใต้ ที่ปิ่นเกล้า ราคาประมาณ 100 บาท ไปลงขนส่งกาญจนบุรี
หรือ จะนั่งรถบัส จากหมอชิต2 ไป ลงขนส่งได้เหมือนกัน แต่รถบัสรอบจะน้อยกว่า ใช้เวลานาน ไม่แนะนำ

-  เมื่อลงขนส่งกาญจนบุรี ให้ต่อรถ ขึ้น กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ
จะเป็นรถบัสหวานเย็น ใช้เวลาประมาณ4-5 ชม.  ราคาประมาณ

- เมื่อถึงทองผาภูมิ ให้ต่อรถโดยสาร ทองผาภูมิ - อีต่อง จะเป็นรถโดยสารกระบะสีเหลือง
ซึ่งต้องกะเวลาให้ดี เพราะมีรอบน้อยมาก  รู้สึกว่ารอบสุดท้ายจะเป็นเที่ยงนะ ราคาประมาณ70บาท

เอาล่ะ เข้าเรื่องของเรากันดีกว่า

การเดินทาง จริงๆแล้ว แม่งไม่ต้องคิดเรื่องอะไรเลย 

อยากไปไหน เวลาไหน ก็ไป อยากทำอะไร ก็ทำดิ 5555


เช้านี้  การเดินทางของผม ควรจะเริ่มต้นตอนตี 5 แต่ปรากฎว่า เมื่อคืนเตรียมของกันดึกมาก
กว่าจะได้นอน ก็เที่ยงคืน  สรุปตื่นจริง7โมง ออกเดินทาง 8 โมง



ออกจาก กทม. มา ร้อยกว่ากิโล ก็เข้าเขต กาญจนบุรี 
กองทัพต้องเดินด้วยขา แฮร่ๆ  เราแวะกินข้าวกันที่ร้าน เรือนลาดทอง

ร้านประจำที่เคยกิน   น้ำพริกฟรี  อาหารปักษ์ใต้ ยังคงอร่อยเหมือนเดิม
การันตี โดยคุณอาร์ต 5555

มีหมูหวาน แกงไตปลา ไข่พะโล้  ตบท้ายด้วย โรตี  แง่มมมๆ





มีวัว ควาย ให้ชม อีกต่างหาก ก็เป็นร้านที่ธรรมชาติดี ไม่ปรุงแต่งอะไร


ไปกันต่อ กับเราเนวิเกเตอร์   5555   
จ.กาญจนบุรี  2 ข้างทางก็จะมี แต่ภูเขา ทุ่งหญ้า สะวันนา

แต่ระยะทางค่อนขางไกลจริงๆ ถึงแม้จะเข้าเขตกาญแล้ว  แต่เรายังคงต้องขับรถตรงยาว
อีก2ร้อยกว่ากิโล ใช้เวลา ประมาณ 4 ชม.

ทางขึ้นไป บ้านอีต่องก็จะเป็นทางไหล่เขา ด้านนึงเป็นเขา ที่มีดินสไลด์อีกด้านก็เป็นเหววววว
มีวีดีโอให้ชมกานนน


โปรดขับด้วยความระมัดระวัง 

จากนั้น เราก็มาเห็นป้าย ไปน้ำตกจ๊อกกะดิ่น  เราเลย ไปที่นี่กันก่อนเลย 
ซึ่งทางชันมากกกก แต่ก็ขึ้นได้นะ  ใจถึงๆหน่อยครับผม

เสียค่าเข้า สถานที่ คนละ 40 บาท ค่ารถยนต์อีก 30 บาท


จากนั้้นเราก็เดินกันเข้ามาไม่ไกล นิดเดียวเอง ก็เจอน้ำตกแล้ววว
แต่ ๆๆ น้ำตกแรงมาก  สวยมากกกกเลยย
ลงเล่นไม่ได้  อันตรายย  ผมลงไปแค่เอวเพื่อไปถ่ายรูป น้ำเย็นมากกกกกก
แล้วน้ำก็แรงมากกก



คนอื่นนี่งงกันเลย  ว่ามึงลงไปได้ไงวะ  คนมองกันนนิดนึง  แต่ไม่แคร์  แล้วก็ได้รูปนี้มา



จากนั้น เมื่อถ่ายรูปดื่มด่ำกับน้ำตกพอแล้วววววว ก็ขับไปต่อที่บ้าน อีต่อง กันเรยยย




เมื่อขับรถกันขึ้นมาเรื่อยๆ ข้ามเขาอีกลูก2ลูก ก็จะพบกับ  หมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางสายหมอก
อย่างกับอยู่ต่างประเทศจริงๆ 

เวลา ณ ตอนที่ผม มาถึงคือ 16.30 
ซึ่งตอนนั้น ก็อย่างที่เห็น คือไม่มีแดดส่องถึง และหมอกเข้าปกคลุมทั่วทั้งหมู่บ้านจริงๆ

ทำให้นึกถึงซาปา ประเทศเวียดนาม จริงๆ






โดยเราเดินมาตรงสะพานไม้นี้ 
เป็นสะพานที่โคตรฮิตเลย ถ้าใครมาที่นี่ ก็ต้องมาสะพานนี้แหละ

เป็นมุมที่มีการรีวิวกันโคตรเยอะ 





จากนั้น ก็ดื่มด่ำ กับบรรยากาศตรงหน้าครับโผมมมมม

แล้วก็จัดแจงหาที่กางเตนท์ 
ที่หมู่บ้านนี้ มีที่  กางเตนท์ ฟรี !!!

แต่ลานกางเตนท์  จะอยู่ด้านบน   เป็นลานจอด ฮ.
เป็นลานกว้างๆ เลือกที่กางได้เลยยย


จะเห็นถนนทอดเป็นทางขึ้นไป 
นั่นแหละ คือ ลานกางเตนท์  ที่เราจะไปกัน  ต้องทะลุสายหมอกเข้าไป
มันฟินมากกก นะเทออออ






ที่นี่ ยังเป็นจุดเริ่มเดินเท้า ขึ้น เขาช้างเผือกอีกด้วยนะ
แต่ตอนนี้ ยังไม่ถึงฤดูกาลที่เปิดให้ขึ้น



เมื่อเราขึ้นมาด้านบนก็จะเห็นวิว หมู่บ้าน และด้านหลังเป็นวิวภูเขากับสายหมอกแบบนี้

ผมไม่รอช้า รีบจัดแจงกางเตนท์
เพื่อย่างเสต็ก จิบเบียร์  ชิลๆกันเรยยย





โดยที่เรา ไม่มีเตา และไม่อยากหาซื้อเตาอังโล่ เพราะมันหนัก
อยากได้แบบ แฮนด์เมด แบบฉบับของผม

ผมเลย ซัด กล่องคุ๊กกี้ ที่มีในบ้านนี่ล่ะ
เจาะรูๆๆๆ  ปาดๆๆๆๆๆ

แล้วก็เอามาใช้ 55555

ยุคนี้ มันยุคไหนแล้วววว นี่มันยุคประหยัด เบา กระทัดรัด



จากนั้นก็เริ่มก่อไฟกันเลย  โอ้โห
วิวตรงหน้าแม่งก็โคตรดี  ฟินดิ แบบนี้



หลังจาก ดื่มด่ำ ดื่มเบียร์ ดื่มห่าไรกันพอแล้ว
สภาพก็อย่างที่เห็นนน

เหลือค๊าบบบบ ท่านผู้ชมมม



แต่ดี ที่ยังมี เจ้าถิ่น คอยอยู่2 ตัว บริเวณนั้น
เมื่อกินไม่หมด ก็ต้องแบ่งให้สัตว์โลกกินด้วยยยยย

ทั้งเฟรนฟราย ทั้งไก่ทอด  ทั้งไส้กรอก ทั้งเสต๊ก เหลือทุกอย่างๆ 5555
แต่ ดีว่ามีตัวช่วย คอยกินอยู่เกลี้ยงเรยยยย




เบียร์ไรวะเนี่ย  สัญชาติ อเมริกาา
รสชาติดีนะ  แต่อ่อนกว่า ไทยหน่อยนึงง

หลังจากซัดกันจนอิ่มหนำ สำราญ ก็ไปอาบน้ำและไปเดินเล่นในหมู่บ้าน
ยามค่ำคืน  คนที่นี่นอนกันไวมาก ผมลงมาตอน3 ทุ่ม
ก็อย่างที่เห็น  เงียบเชียบ ร้านค้าปิดหมดแล้ววว

มีบางคนที่ยังกินหมูย่างเกาหลี กันหน้าที่พักตัวเอง










เมนูยอดฮิตของที่นี่ คงไม่พ้น หมูกระทะ
เดินไปไหนก็กินกันแต่หมูกระทะ

แต่มันได้บรรยากาศจริงๆ  กินท่ามกลางสายหมอกเย็นๆ
กับหมูกระทะอุ่นๆ 5555



จากนั้นก็กลับไปนอนนน  ตอนกลางคืนนี่เย็นใช้ได้
น้ำค้างที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงเรย  หยดเป็นเม็ดๆเลยล่ะ




ตื่นเช้ามา สภาพก็อย่างที่เห็น หมอกกกกกกก

มีแต่หมอกกับหมอกก   ฟินมากนะเทออออออ

ยังไม่เห็นแสงแดดดเลยยยย



ที่นี่มีห้องน้ำ กับห้องอาบน้ำ ใกล้ๆกับลานกางเตนท์นี่แหละ ฟรีครับบ
แต่มีกล่องรับเงิน เป็นค่าบำรุงอยู่นะ

อย่าลืมหยอดกันล่ะ!!




น้ำค้างแรงแค่ไหนน ถามใจเทอดู 5555



ล้างหน้าล้างตา เสร็จ เก็บของเก็บเตนท์ ไปกินอาหารเช้ากันนนน



เมนูอาหารเช้ายอดฮิต ของคนไทย  ไม่พ้น...

ข้าวต้มมม และ ไข่กระทะ

555555

เป็นเมนูที่ไม่ต้องคิด แต่คนก็สั่ง

หลังจากกินเสร็จจแล้ววว เราจะไปเนินช้างศึกกันนน

แต่เราจะไม่ขับรถกันขึ้นนะ  เราจะเดินขึ้นนน  และนี่ คือจุดเริ่มต้น ของ survivor

(ต้องรอด)


ด้วยระยะทาง 1.2 กม.  โถ่วววว จิ๊บๆๆ

เคยเดินป่า เดินเขามากี่รอบแล้วววว แค่นี่เอง ไม่ต้องเอาน้ำขึ้นไปก็ได้

นี่คือการขึ้นเขาครั้งแรก โดยไม่มีน้ำติดตัวไปด้วยซักขวดดดด

และหมอกก็เริ่มมมหายยยยยย แดดดที่ไม่เคยส่องถึง
ก็สาดส่องลงมา อย่างกับ จะย่างกันเลยทีเดียว




พอเดินขึ้นมาสักนิดนึงจะเจอทางแยก 2 ทาง ซึ่งผมไม่ได้ถ่ายรูปมา
ตอนแรก ผมเดินไปทางขวา  มันเป็นทางทีี่ลัดเลาะเข้าป่า  ผมเลยเดินย้อนกลับมา
เลือกไปทางซ้ายยย แค่เริ่มนี่ก็หลงแล้ววว

จากนั้นก็เดินตามทางขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่มีป้ายบอกอะไรซักอย่าง
ต้องเดาเองเองง ต้องลองเดินไปเองทุกทาง

จนเจอกลุ่มคนที่เดินสวนลงมาเลยถามว่า ข้างบนเป็นยังไง สวยมั๊ย
เค้าบอก ไปไม่ถึง ไปถึงแค่ลานกว้างแล้วก็เดินกลับ
เค้าบอกมันไม่มีอะไร

จากนั้น ผมก็เดินต่อไปเรื่อยๆ  ตลอดทางเดิน มองย้อนหลังกลับไป ก็จะเห็นหมู่บ้านที่เราเพิ่งเดินออกมา
จากนั้นผมก็เดินมาถึงจุดที่คนกลุ่มนั้นบอก

คือเป็นลานกว้างๆ ไม่มีป้ายอะไรบอกซักป้าย

ฉันมาทำอะไรที่นี่
ฉันมาเพื่อ มาพบความว่างเปล่า




คำถามคือ เนินช้างศึกอยู่บนภูเขาลูกไหน กันแน่  ตอนนี้ที่ผมมองเห็นคือ เขาที่ใกล้ผมที่สุด แต่ก็ชันสุดๆ
ผมเห็นเหมือนเครื่องส่งสัญญาณ อยู่ด้านบน และมีสายไฟโยงขึ้นไป

ผมเลยมั่นใจว่าลูกนี้แหละ แน่นอน จากนั้นก็เริ่มหาทางเข้า
ก็ไปเจอป้ายว่า ทางขึ้น

ใจชื้นเลยยย ต้องเดินลัดเลาะอยู่ข้างเขา ขึนไป และพอเดินไปเรื่อยๆ จะเจออุโมงค์ 2 อุโมงค์
ซึ่งไม่ใช่แน่ เลยเดินต่อไป สรุป มันไม่มีทางให้ไปต่อ มีแต่สายไฟที่พาดขึ้นไปได้

เลยตกลงจะยอมแพ้ กลับ หรือปีน ต้องเลือก

เลือกที่จะปีนดู  แต่พอปีนไปไม่ไกล  ผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ทางเดินขึ้น
เพราะมันชันและลื่นมากกๆ  แถมมีสายไฟพาดทางอยู่

จึงเดินกลับลงมาตรงลานโล่งๆอีกครั้ง  เงยหน้ามองทุกยอดเขา ว่าเนินไหนคือเนินช้างศึก
เปิดรูปจากอินเตอร์เน็ต แล้วลองมองดูว่ามุมองศา มันควรจะเป็นเขาลูกไหน

ตอนนั้นอยากกลับแล้ว เพราะหิวน้ำ ไม่มีน้ำติดมาซักขวด แดดก็ร้อน
จนเปิดรูปในเน็ตดู ก็คาดว่าน่าจะเป็นเขาอีกลูกนึงที่อยู่ทางซ้ายมือ

แต่พอเดินไปใกล้ๆ มันก็ไม่น่าจะใช่เขาลูกนี้นะ  ตอนนั้นกะว่าจะกลับละ
ในเน็ตก็ไม่มีใครรีวิว การเดินขึ้นเนินช้างศึกเลยยย

เดชะบุญ  ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์วิบากอยู่ริบๆ  ผมรีบวิ่งไปดู เห็นเป็นรถกำลังไต่ขึ้นเขาอยู่ไกลๆ
แล้วทางมันก็อ้อมมา ทางเขาลูกนี้นี่หว่า แต่ไม่มีทางขึ้น

หรือเราจะเดินไปตามถนนเลยวะ  ไม่ได้ว่ะ มันไกลเกินไป
ไม่มีน้ำด้วยยย  ลองหาทางไปกะไอ้เขาลูกนี้ใหม่

เชี่ยยยย เห็นป้ายเล็กๆ ติดอยู่ตรงต้นไม้ บนเขา ผมรีบวิ่งขึ้นไปและหาทางที่จะขึ้นไปยังต้นไม้ต้นนั้น
แม่งต้องมีทางสิวะ  ลองหาดูดีๆ  ก็ไปเจอพงหญ้าลองแหวกดู ก็จะเห็็นเป็นทางเดินเข้าไปเล็กๆ
แคบๆ    ตอนนั้นดีใจสัส  รีบวิ่งขึ้นไปหาต้นไม้ตต้นนั้น
มันเขียนว่า เลี้ยวซ้าย ใกล้ถึงแล้ว สู้ๆนะ !

เขียนแบบนี้จริงๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวนี่แหละ ที่ทำมาติดไว้
และในที่สุด ผมก็มาถึงจนได้

"เนินช้างศึก"



แต่หิวน้ำชิบหายยยย 5555
ข้างบนไม่มีอะไรขายเลลยย มีแต่ป้อมทหารรร

ตอนนั้น ผมนึกถึงหนังเรื่อนี้เลยย 127 HR

เข้าใจเลย ว่าทำไม นึกถึงโค๊ก เป็ปซี่ น้ำหวาน





พอผมกลับลงไปเท่านั้นแหละ   ธเวปส์    โค๊ก    และสไปรท์
3 กระป๋อง แป๊ปเดียวหมด

โรตีอีก 55555



จากนั้นก็ไปนั่งกินน้ำ กินข้าวกันร้านนี้ต่อ  ซึ่งต้องบอกเรยว่า
ร้านนีอร่อย และเด็ด จริงๆ

หลังจากนั้น ก็ตัดสินใจกลับบบบ  แน่นอนว่างานเลี้ยง ย่อมมีวันเลิกลา
ทุกครั้งที่การเดินทางจบลง  นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเดินทางครั้งใหม่








รถสาธารณะที่นี่ ราคา 70 บาท นะครับ


มันไม่ได้แย่  ที่เราต้องกลับไปทำหน้าที่ของแต่ละคน
แต่มันคือ สิ่งที่เราต้องก้าว ไปเจออะไรใหม่ๆ ในโลกใบนี้
ไปเจออะไรใหม่ ที่มันก็รอการค้นพบ
เหมือนกับที่ผมมาค้นหามันด้วยตัวเอง ในวันนี้


ขอบคุณทุกการเดินทางจริงๆ  จริงๆมีการเดินทาง ที่ประทับใจแต่ยังไม่มีโอกาสได้เขียน
ยังไม่มีเวลาพอจะเขียน เพราะมันเยอะมากก 5555

ถ้ามีเวลาจะไล่เขียนให้ครบทุกทริป เลยครับผมมม

เราต้องสนุกไปกับมัน ยอมรับทุกการเดินทางให้ได้
อย่าไปยึดติดกับอะไรให้มาก แล้วคุณจะมีความสุขครับผม


ออกไปเห็นโลกใบนี้ด้วยกันเยอะๆนะ

One-life

----------------------------------------------------------------------------------

Popular Posts

Facebook