1 วัน ที่ อโยเดีย
 |
| อยุธยาของเราแต่ก่อน 55 |
.
.
.
บันทึกความทรงจำ ณ วันที่
05.08.18
.
.
.
ชักช้าอยู่ใย ไปเริ่มเดินทางกับผมกันเลยดีกว่าาาา let go !!
เริ่มต้นกันที่ สถานีดอนเมืองง ขบวน รถไฟที่ 201 เราลองซื้อตั๋วแบบไม่ถึงปลายทางดู ในราคา 3 บาท ไปอยุธยาราคาจะอยู่ที่ 11 บาท เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะครับ เราลองดูว่า เจ้าหน้าที่จะไล่เราลงหรือเปล่า ถ้าเรายังนั่งเกินสถานี เดี๋ยวไปดูกัน ส่วนเวลาก็ประมาณ10โมงครึ่ง
แต่มาจริง 10.45 จร้าาา ขบวน กรุงเทพ - พิษณุโลก ทำใจกะรถไฟไทยหน่อยนะ 555
นั่งรถชิวๆ อย่าไปคิดอะไรมากมาย วันเที่ยวๆ ท่องไว้ๆ
หลังจากนั้น เราก็ขึ้นรถไฟขบวนแห่งฝันไปที่ อโยเดียกันนน
รถไฟไทย เป็นอะไรที่ยังคงความคลาสสิคได้อยู่ แม้หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว
แต่รถไฟไทย ยังคง ไม่ 5555
เราควรดีใจที่รักษา เอกลักษณ์ไว้ได้นานๆ
ข้าวที่ขายบนรถไฟนี่ ราคา 20 บาทเท่านั้น ไม่แพงเลยย ถูกมากกก
ใครไปก็ช่วยอุดหนุนกันหน่อยนะครับ
พอรถไฟแล่นไปจนถึงเชียงราก เราเองก็ไม่ได้ลงไปแต่อย่างใด ปรากฎว่า
....
ก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่มาตรวจรอบ2 เราก็เลยได้ขึ้นรถไฟในราคาที่ถูกลงหน่อยนึง อิอิ
หลังจากออกจากสถานีรถไฟก็จะเจอกับรถสามล้อ แบบอยุธยา ก็แปลกดี ไม่เหมือนใคร ชอบๆ
หลังจากถึงอยุธยา ให้เราเดิน ตรงเข้าซอยไปเลย จะเจอร้านให้เช่าจักรยานเยอะแยะ ในราคา 50 บาท
แต่ถ้า ใครไม่อยากปั่นไกลๆ ให้เดินไปอีกหน่อยจนสุดซอย
ก็จะเจอ ท่าเรือ ข้ามไปอีกฝั่ง ไม่ต้องปั่นจักรยานอ้ออม ในราคา 5 บาท เพื่อข้ามไปอีกฝั่ง
จากนัั้นก็ทำการเช่ารถ ถ้าข้ามเรือมาเช่าฝั่งนี้ ราคาจะเหลือเพียง40บาท
ก็ลองคิดดูกันเนาะ ว่าจะวางแผนเที่ยวยังไงกัน
ส่วนผม ไม่มีเวลามาก เลือกที่จะเที่ยวโดยใช้ รถ มอเตอร์ไซค์เช่า ในราคาวันละ 200บาท
จริงๆก็ไม่คุ้มมากเท่าไหร่ แต่มา2 คน ตก คนละ 100 บาท แต่ไปไหนได้ไกลกว่า
ก็ OK
ตอนที่เราไปมอไซค์ออโต้หมดทุกคัน เลยจัดแบบเกียร์ไปเลย
โอ้ แม่เจ้า เปลี่ยนเกียร์มันส์ชิบหาย 555
ใช้ชีวิตให้สนุก อย่าได้แคร์สิ่งใดๆ
จากนั้นเรารีบไปวัดแรกกันที่ วัดมหาธาตุ วัดดังของอยุธยา คนไทย 10 บาทต่างชาติ 50 บาท
จริงๆคนไทยด้วยกัน ไม่น่าเสียตังค์นะ แต่เราก็คิดว่าเป็นค่าบำรุงวัดไป
เพราะไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมาย
และที่นี่ห้ามนำโดรนมาบินด้วยนะค้าบบบ ก่อนได้รับอนุญาต
จากนั้นเราเดินมาตรงจุดที่เศียรพระอยู่ที่รากต้นไม้ ชาวต่างชาติ มาเพราะสิ่งนี้นี่แหละ
หลังจากเดินจนทั่ววัดแล้ว เราก็ไปกันต่อตามแผนนที่ ที่เจ้าของร้านเช่ารถแนะนำมา
คือ เอาจริง ลืมตั้งแต่ 5 นาทีแรกละ อธิบายยาวเกินนน จำไม่ได้
แต่ก็ไปมั่วๆ นี่แหละ เจออะไรก็แวะเลยยละกัน 555
ขับรถออกมาได้ไม่นานเราก็เจอ วัดอีก1 วัดที่อยู่ใกล้ๆกัน ค่าเข้า 10 บาท
แต่เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น เราก็เลย ถ่ายรูปจากด้านนอกเอา ใช้เวลไม่ถึง2นาที
5555+
จากนั้นเราก็ไปกันต่อ ไปค้นหาว่าเมืองอยุธยา มีอะไรที่น่าสนใจ
นอกจากประวัติศาสตร์ที่แอบซ่อนอยู่รึป่าว
ก็ไปเห็นวัดนี้ตั้งตระหง่านอยู่ ดูสวยงาม แล้วคนก็เยอะมาก เลยจอดรถ
แล้วเดินเข้าไปดู ปรากฎว่าเป็นการทำบุญปิดทองลูกนิมิตรจร้าา
แต่มาแล้ววยังไงก็เดินไปหน่อยละกัน
สังเกตเห็นทางขวามือ มีวัดที่เป็นมรดกโลกซะด้วยยย
เลยแอบย่องไปถ่ายรูปอยู่ข้างวัด ทำหน้าให้น่าสงสารเข้าไว้ จะได้ให้เราเข้าฟรี
555+ คนชั่ว 2018 จริงๆ
ก็โอเครนะ เค้าไม่ให้เข้า 555 ก็เออสิวะ ใครจะไปให้เข้าเล่า
หลังจากนั้นเราก็ออกไปขึ้นรถเพื่อไปต่อ แต่เห็นมีนักท่องเที่ยวขึ้นหลังช้างอยู่
น่าจะมีปางช้างอยู่ไม่ไกล ไปดูซะหน่อยดีกว่า
มาที่นี่ คนไทยใครจะขึ้นหลังช้าง อัตรา10 นาที 100 บาท 20 นาที 200 บาทครับผม
อาหารช้าง ตะกร้าละ 50 บาททท ช้างที่นี่แสนรู้มากๆเลยอ่ะ มีเอาเท้าถีบกันแย่งอาหารด้วย
อยู่กับช้างสักพัก เราก็ไปกันต่อที่ตลาดน้ำอโยธยา
เพื่อไปหาของกินนนนน
ของกินหลากหลายมากเลยที่นี่ แต่ก็เหมือนตลาดน้ำทั่วไป ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ
นอกจากมีโรตีสายไหม กับก๋วยเตี๋ยวเรือ เยอะเป็นพิเศษ
แวะหาของกิน นั่นก็คือก๋วยเตี๋ยวเรือ พระนคร กับ ส้มตำถาด
มื้อนี้รอดตายไปอีกมื้อ ^^
นี่ก็เป็นเวลา 5 โมงเย็นละ เราต้องกลับรถ ไฟรอบ 18.40
เราก็ยังไปวัดใกล้เคียงต่อ เจอวัดไหนสวยก็แวะ
ถ่ายไปเรื่อยๆ
แวะถ่ายไปเรื่อยจริงๆ 555
ไม่รู้จักชื่อวัดด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อย ผมก็ได้ใช้ขาทั้ง2ข้าง
พาดวงตาทั้ง2ดวง ไปเห็นด้วยตามาแล้ว
ไม่ใช่แค่เห็นเพียงในรูปภาพ
เราก็เอารถไปคืน ให้ค่าน้ำมันไปอีก20บาท แล้วไปขึ้นเรือกลับฝั่ง
รอขึ้นรถไฟกันนนน
ระหว่างรอ ก็ถ่ายรูปบันทึกความทรงจำซะหน่อย
การเดินทาง จุดหมายปลายทางก็เป็นสิ่งสำคัญนะ
แต่มันไม่มีรสชาติ ถ้าไม่มีเรื่องราวระหว่างทางเลยยย
คนเรา มี 24 ชม. เท่ากัน อย่าเอาข้ออ้างของตัวเองมาเป็นข้อจำกัดในการใช้ชีวิต
แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าคับผม
