ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ย่างกุ้ง ทริปแห่งความทรงจำตลอดกาล EP.2



30.12.19




เช้าวันที่ 30 ก่อนจะสิ้นปี รถบัสที่มาจากเมืองย่างกุ้งได้เข้ามาจอดพักรถ แถวๆเมืองบาโค รถได้จอดพักเพื่อให้แวะกินข้าวและเข้าห้องน้ำ  จึงทำให้รู้ว่าผมเป็นชาวต่างชาติอยู่คนเดียว นอกนั้นเป็นคนท้องถิ่นทั้งคัน  ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปกินอะไร เพราะตอนนั้นเป็นช่วงเวลาปประมาณ ตี 1 ได้แต่เข้าไปซื้อนมกล่อง เอาไว้กินตอนเช้าแค่นั้น 

จอดพักประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ อีกประมาณ 2 ชม.ก็ถึงเมืองไจ๊โถ่ว เอาเป็นว่าไม่ได้นอนเลย นอนหลับบ้างไม่หลับบ้างบนรถ แต่เมื่อมาถึงตอนประมาณ ตี 3 ไม่รู้จะไปไหนต่อเลยทีนี้ หนาวก็หนาว  เสื้อกันหนาวก็ไม่ได้เอามาซักตัว






ก็เลยเดินตามคนท้องถิ่นเข้าไปหลบหนาวอยู่ในบ้านพัก ถ้าใครอยากนอนก็จ่ายเงินแล้วเข้าไปนอนในห้อง น่าจะมีหมอนผาห่มเตียงรองรับ แต่ผมขอนอนข้างนอก ซึ่งไม่เสียเงิน แต่ก็ทรมานหน่อย เพราะมันหนาวมาก พยายามข่มตาให้หหลับ แต่มันหลับไม่ได้จริงๆ เพราะมันหนาวมาก ได้แต่รอให้มันเช้า แล้วรีบเดินไปขึ้นรถ



พอซักประมาณ ตี 5 ครึ่ง ทุกคนเริ่มลุกเพื่อไปที่รถขนหมู  จริงๆก็เป็นรถ 6 ล้อที่มีคอกกั้นไว้นั่นเอง ผมก็เดินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความหนาว ได้ยินเสียงมีดถูกขว้างมาจากไหนไม่รู้ เกือบโดนผมแหนะ  คือแม่ค้าเอามีดปาไล่หมาแถวนั้น  แล้วผมเดินผ่านไปพอดี  เกือบไปแล้วมั๊ยล่ะ






จากนั้น ก็เดินๆตามเขาไป จนมีคนเข้ามาถามว่า มาคนเดียวใช่มั๊ย ผมตอบว่าใช่  เค้าเลยพาเราไปขึ้นรถ ไม่ต้องต่อคิวอะไรเลย พาลัดคิวไปเลยจร้า ป่าวหรอก จริงๆเค้าหาคนที่มาคนเดียวอยู่  เพราะที่นั่งว่างอยู่ที่เดียว  ส่วนใหญ่เค้ามากันเป็นครอบครัว มีเรานี่แหละมาคนเดียว ก็เลยโชคดีไป ผมขึ้นรถปุ๊บรถก็ออกปั๊บ

โดยค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2000 จ๊าดเท่านั้น  ถูกมาก  แต่ขับโคตรหวาดเสียว แต่ก็สนุกดี  เมื่อมาถึงด้านบน จะมีคนมาชวนเราไปขึ้นเคเบิ้ลคาร์  ซึ่งต้องเสียเงินเพิ่ม ประมาณ ร้อยกว่าบาท  ผมเลยไม่ไป  ขึ้นฟรีนี่แหละ อาจจะเสี่ยงหน่อย  แต่ฟรี ก็ไป 555+








ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็มาถึงด้านบน  เมื่อเราเดินลงรถ 6 ล้อ ก็ต้องเดินต่อไปอีก ประมาณ 500 เมตร ก่อนจะถึงทางเข้า จะเจอเจ้าหนาที่เรียกชาวต่างชาติเสียค่าบัตร 10000 จ๊าด ส่วนคนท้องถิ่นฟรี เมื่อถึงหน้าทางขึ้นพระธาต เราต้องถอดรองเท้าเดินด้านบน  แต่ผมใส่ขาสั้นมา เจ้าหน้าที่ไล่ให้ไปใส่โสร่ง  แต่ผมไม่มี กะลังจะเดินกลับแต่เจ้าหน้าที่อีกคนวิ่งมาเรียกให้ไปใส่โสร่ง มัดจำไว้ 4000 จ๊าด พอเอามาคืนก็คืนมัดจำเรา  ก็โอเครนะ

เมื่อใส่โสร่งเสร็จ ก็เดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงตัวพระธาต ใครจะเข้าไปปิดทองด้านใน ก็ต้องซื้อแผ่นทอง อีก 3000 จ๊าด เข้าได้เฉพาะผู้ชายด้วย  แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปปิดหรอก ยืนชมความงามอยู่ด้านนอกนี่แหละ ก็เห็นความศรัทธาของคนท้องถิ่นที่นี่ดี  พอเริ่มสายหน่อย แสงก็สาดมาโดนพระธาต ทำให้เหลืองทองอร่ามมาก  เป็นก้อนหินที่ตั้งอยู่บนภูเขาอย่างอัศจรรย์จริงๆ  เพราะคนที่นี่เชื่อว่า เป็นพระอินทร์ที่จับก้อนหินก้อนนี้มาตั้งไว้บนหุบเขา  แล้วก็ตั้งแบบนี้มาเป็นพันๆปีแล้ว โดยที่ไม่มีการล่วงหล่นแต่อย่างใด




ผมได้แต่ถามตัวเองว่า แค่นี้สินะ ที่เราดั้งด้นมาจากย่างกุ้ง เพียงเพื่อเห็นด้วยตาจริงๆ เพียงไม่กี่ ชั่วโมง แต่มันเป็นความงามที่ซักครั้งในชีวิต ควรมาเห็นด้วยตาของตัวเองจริงๆ เชื่อผมเถอะ ว่ามันโคตรคุ้ม

เมื่อชมพระธาตจนอิ่มใจ เราเดินไปเที่ยวกันต่อ โดยแวะไปนั่งในร้านขายชากับปาท่องโก๋  เมื่อกินเสร็จจ่ายตังค์ สโร่งที่เราใส่มาดันหลุดออก ทำให้ผมต้องม้วนใส่ใหม่ น้องที่ร้านก็เข้ามาช่วยกันใส่สโร่งให้ใหม่ ก็เป็นภาพที่ประทับใจอีกช็อตหนึ่ง




แล้วผมก็เดินไปทั่ว เดินเหมือนเมื่อคืนพักผ่อนมาเต็มที่ แต่ที่จริงคือยังไม่ได้นอน  เดินสำรวจจนรอบ ผมตัดสินใจเดินลงไปขึ้นรถเพื่อลงพระธาต ตอนนั้นประมาณ 10 โมงกว่า  ขึ้นรถที่เดิม ราคาเท่าเดิม ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม. ก็ถึงข้างล่าง  แต่เสียดายตรงที่ ผมจองรถไว้รอบบ่าย 3 แต่เราดันมาถึงตอนเที่ยง เอายังไงดีล่ะ ทีนี้   เข้าไปนั่ง KFC กินรอ ฆ่าเวลาดีกว่า





รสชาติ KFC ไม่ค่อยถูกปากชาวไทยเท่าไหร่ รอบนี้เลยสั่งแบบซอสเกาหลีมา อืม ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ 555  แต่ก็นั่งฆ่าเวลาไป 1 ชั่วโมงได้อยู่   แต่มันนานเกินไปที่จะนั่งรอเฉยๆ  เลยลองเดินไปถามเค้าว่า พอที่จะสามารถเลื่อนตั๋วได้มั๊ย  เค้าบอกว่าเต็มแล้ว ก็เลยต้องกลับรอบเดิม   ด้วยความที่เสียดายเวลา จึงออกไปเดินเล่น  ไปหาห้องน้ำเข้า




เดินไปเรื่อยๆ จนไปเจอเหมือนเป็นหมู่บ้าน ก็เลยเดินเนียนๆไปเข้าห้องน้ำ พอเข้าเสร็จคิดว่าไม่มีใครเก็บตังค์เลยเดินออกมาเนียนๆ เจอเด็กประมาณ 4-5 คน เรียก ให้มาจ่ายตังค์ 555 + ก็เลยจ่ายไป200 จ๊าด


จ่ายเสร็จแล้วก็จะเดินกลับ แต่เหลือบไปเห็นว่ามีเก้าอี้นั่ง ก็เลยเข้ามานั่งพัก และแล้วพวกเด็กที่เก็บตังค์ผมก็เริ่มเดินมาเล่นด้วย  จากนั้นชีวิตผมก็ไม่เหงาอีกต่อไป 555+  ทั้งๆที่คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเด็กก็พูดอังกฤษไม่ได้ แต่เราก็พยายามสื่อสารกันจนเข้าใจ  แน่นอนว่าการเดินทางเราจะต้องเจอเรื่องราวแบบนี้อยู่แล้ว  จากที่ต้องนั่งรอรถ 2 ชั่วโมง  ตอนนี้มันผ่านไปไวมาก กับเวลา 2 ชม.  เราสนิทกันอย่างรวดเร็ว ด้วยความไร้เดียงสาของพวกเค้า  เราจึงต้องบอกกล่าวคำลา ว่าฉันจะต้องกลับไปที่เมืองย่างกุ้งแล้วนะ


พวกเด็กๆ พูดพอจับใจความได้ว่า แล้วจะกลับมาที่นี่อีกมั๊ย เราตอบว่าไม่กลับแล้ว ฉันจะกลับประเทศไทยเลย  คงไม่ได้กลับมาที่นี่แล้ว จากนั้นเด็กก็เอาโทรศัพท์ผมไปถ่ายรูปเก็บไว้ พร้อมกับให้เบอร์โทรของพวกเขามาด้วย

สุดท้ายก็ต้องมีคำร่ำลาต่อกัน ผมก็ต้องเดินกลับไปยังท่ารถเพื่อขึ้นรถ เดินทางกลับเมืองย่างกุ้ง ใช้เวลาอีกประมาณ 5 ชม. พอมาถึงท่ารถก็ได้ขึ้นรถเลย แล้วผมก็ออกเดินทางสู่เมืองย่างกุ้งอีกครั้ง


พอเข้าใกล้เขตเมืองย่างกุ้ง รถกลับติดแบบ ติดโคตรอ่ะ 1 ชม. ประมาณ 1 กิโลเมตรได้  พอมาถึงสถานีรถบัส ผมรีบเดินลงไปเข้าห้องน้ำ  แล้วเดินออกมาด้านนอกขึ้นรถสาย 11 ซึ่งเป็นสายยาว ไปถึง สุเหร่ แต่เสียค่ารถแค่ 4 บาทเท่านั้น  ถูกมาก

กว่าจะมาถึงสุเหร่ก็ปาไป 3 ทุ่มละ  ผมรีบเดินกลับที่พักไปอาบน้ำ แล้วเอามาม่าลงมาต้มพร้อมกับซื้อเบียร์จิบอีกขวด  เบียร์ที่นี่ขวดใหญ่ตกขวดละ 40 กว่าบาท ซึ่งก็ไม่ได้แพงอะไรมาก นั่งกินจนหมด ก็ได้เวลากลับขึ้นไปพักผ่อนห้องแอร์ฉ่ำๆ แล้วค่อยตื่นมาว่ากันใหม่ในวันพรุ่งนี้




31.12.19

วันสิ้นปี






วันนี้เป็นวันสิ้นปี ผมตื่นมาในเวลา 9 โมงได้  ก็ลุกไปอาบน้ำ แล้วลงมากินข้าวของโรงแรม แล้วเก็บของ เก็บกระเป๋า เตรียมเอาไปฝากไว้กับโรงแรม  จากนั้นก็ออกไปขึ้้นรถเมล์ ไปเที่ยวกันต่อ ผมขึ้นรถเมล์จากหน้าปากซอย ราคา 4 บาท ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อที่จะไปเมืองสิเรียม







  ระหว่างทางเราแวะเข้าชมพระธาตกันที่นึงก่อน ชื่อพระธาตว่า kyaik khauk pagoda ไม่เสียค่าใช้จ่าย เดินลงมาเที่ยวประมาณ 1 ชม.










ก็ต้องต่อรถเมล์ไปต่อ และสุดสายที่เมืองสิเรียม  วันนี้เราจะไปดูพระธาตกลางแม่น้ำกัน ชื่อเต็มๆของที่นี่คือ Kyauktan pagoda  แต่เราก็แวะอีกวัดนึงก่อน เพราะไหนๆก็มาแล้ว ก็ไม่อยากพลาด

วัดนี้มีชื่อว่า Kyite pya tha ta naw เดินชมวัดจนพอใจ เราก็เดินไปซื้อตั๋วเรือข้ามฟากใช้ไปกลับ ในราคา 5000 จ๊าด









แต่เมื่อขึ้นมาบนเกาะกลางน้ำ ก็สวยจริงๆ เป็นสถานที่ๆคนพม่าให้ความเคารพกันมาก  ผมก็ข้ามมาถ่ายรูปนู่นนี่นั่นไปเรืื่อยๆ จนตอนนี้เวลาเริ่มบ่าย เราก็ต้องรีบกลับไปเอากระเป๋า ไปเช็คอินที่พักใหม่ โดยที่วันนี้ผมเองก็ไม่รู้เลยว่าจะไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน  คงนั่งจิบเบียร์อยู่ที่ไหนซักแห่ง










จากนั้น ผมก็นั่งเรือข้ามฟากแล้วก็มานั่งต่อรถเส้นเดิมกลับ ใช้เวลาอีก 2 ชม. กว่าจะถึงที่พัก  ก่อนเข้าที่พักก็แวะกินก๋วยเตี๋ยวรัฐฉานของพม่าอีกซักถ้วยก่อนจะไปเอากระเป๋า   เมื่อผมเข้าไปเอากระเป๋า ก็ต้องเดินไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปยังที่พักใหม่ สาย 25 ซึ่งบอกเลยว่าคนแน่นมาก ไม่มีแม้ที่จะเดินเลยล่ะ





พอลงรถปุ๊ป ก็เดินต่อ หาซอยที่มีชื่อตามที่อยู่บน booking  จนมาถึงที่พักประมาณ 5 โมง  ก็ได้แจ้งเช็คอิน  ที่พักนี้ชื่อว่า  THE LODGE YANGON HOSTEL  ทางที่พักแจ้งว่า คืนนี้บนดาด้าโรงแรม จะมีปาร์ตี้ปีใหม่  ให้ไปร่วมสนุกได้  ส่วนคนที่ไม่ได้พักที่นี่ ก็ต้องเสียเงินค่าเข้า ถ้าอยากร่วมสนุก  ที่พักของผม 2 คืน 15,000 จ๊าด  ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล


ผมก็เลยขึ้นเอาของไปเก็บ แล้วก็ไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็ขึ้นไปด้านบนดาดฟ้าตอน 6 โมงเย็น คือ วิวดีมากอ่ะ วิวดีจริงๆ เหมาะมากที่จะมาเคาท์ดาวน์ที่นี่ในคืนนี้ ผมเริ่มต้นด้วยเบียร์สด 1 แก้ว ราคา แก้วละ 2000 จ๊าดเท่านั้น  ราคาประมาณ 40 บาท  โอ้โห ถูกสุดๆไปเลย แก้วนึงเกือบครึ่งลิตรได้










กับวิวดีๆ  กินยังไม่ทันหมดแก้ว มีฝรั่งเข้ามานั่งคุยด้วย เค้ามาจาก U.S.A คุยกันได้ซักพัก ก็มีสาวๆ ไต้หวัน 2 คน เรียกมานั่งด้วยกัน  แล้วก็มีหนุ่มอิสราเอลมานั่งด้วยอีก แล้วก็หญิงญี่ปุ่นอีก 1 หญิงจีนอีก 1

รวมกันแล้ว 7-8 คน กลายเป็นคุยกันสนุกมาก 555  แล้วก็เมามากด้วย เมาจนไม่รู้เวลาด้วยซ้ำ ว่าจะเที่ยงคืนละ มันผ่านไปไวมาก  พอซัก ห้าทุ่ม 45 เราก็ขึ้นกันไปด้านบน ไปรอจุดพลุ Happy new year 2020






แต่ผมก็เมามากจริงๆ จำไรไม่ได้เลย  จำได้แค่ว่าลงจากที่พักแล้วก็เดินไปไหนไม่รุอย่างไกล ไปซื้อมาม่ามานั่งกินข้างถนน  555 แล้วก็เดินกลับห้องถูกได้ไงไม่รุ  ตื่นมายัง งงๆ ปวดหัว  กว่าจะลุกจากที่นอนได้ก็เกือบเที่ยง


01.01.20

สวัสดีปีใหม่




เช้านี้เป็นวันแรกของปี 2020  ซึ่งผมเริ่มต้นด้วยอาการแฮงค์จากเมื่อคืน ที่ฉลองกันอย่างหนักหน่วง  เกือบๆเที่ยงผมลุกไปอาบน้ำ แล้วออกไปกินข้าวตรงปากซอย ด้วยอาการแฮงค์ผมซื้อเครื่องดื่มรสเปรี้ยวมากินก่อน เพราะผะอืดผะอมเอามากๆ แล้วก็เดินไปหาร้านข้าว เห็นมีร้านนึง ติดแอร์ สะอาด ราคาไม่แพง เลยลองเข้าไปนั่งกินดู  ผมสั่งผัดกระเพราพม่ามา 1 จาน  น้ำมันเยอะมาก จะใส่เยอะไปไหน 555





แล้วก็จ่ายตังไป 2500 จ๊าด  แล้วเดินออกไปด้านนอกร้าน ยืนผะอืดผะอมอยู่ ไม่รู้จะไปไหน แล้วสาวไต้หวันที่เจอกันเมื่อคืน ก็เข้ามาทักทายผม การสนทนาเริ่มต้นอีกครั้ง แต่วันนี้เธอเดินออกมาคนเดียว แล้วเพื่อนของเธอล่ะ ผมถาม เธอบอกเพื่อนของเธอนอนหลับอยู่และเมื่อคืนแว่นของเพื่อนเธอโดนพลุจนแตกเป็นรู จากนั้นผมถามต่อว่าแล้วเธอจะไปไหน เธอตอบ หาข้าวกลางวันกิน ผมก็แนะนำร้านที่ผมเพิ่งเดินออกมา ผมกลับไปนั่งเป็นเพื่อนเธอกินข้าวในร้านเดิมอีกครั้ง


👧สนทนาเริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ ตอนนั้นผมเริ่มดีขึ้นจากอาการผะอืดผะอมเรื่อยๆ สุดท้ายผมถามถึงแพลนในวันนี้ของเธอ เธอตอบว่าไม่มี เราจึงเริ่มถามว่าเคยนั่งรถเมล์ที่นี่มั๊ย เธอตอบแค่เดินกับนั่งแท๊กซี่ โอเค งั้นสนใจจะลองนั่งรถเมล์กับฉันมั๊ย วันนี้ฉันก็ไม่มีแพลน เนื่องจากอาการแฮงค์ได้ทำลายแพลนในวันนี้ของฉันไปเรียบร้อยแล้ว เธอตอบตกลง แล้วเรื่องราวการเดินทางก็เริ่มขึ้น


ผมอยากพาเธอไปไกลกว่านี้แต่เวลาเรามีจำกัด เราเลือกสถานที่ๆ ไม่ไกลมากต่อรถเมล์แค่2ต่อก็น่าจะถึง เราเลือกที่จะไป ทะเลสาบ อินยา เป็นเหมือนสวนสาธารณะของที่นั่น ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกก็น่าจะดีไม่น้อย เธอเหมือนสาวน้อยผู้ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ นี่เหมือนเป็นประสบการณ์ใหม่ของเธอ
 เราพากันเดินออกจากร้านอาหาร และเดินไปที่ป้ายรถเมล์และสอนเธอใช้ แอพในการเดินทางโดยรถเมล์ในเมืองนี้ ราคาการขึ้นรถเมล์ 1 ครั้ง 200 จ๊าด เท่านั้น หรือประมาณ 4 บาทตลอดสาย เธอบอกเป็นราคาที่ถูกมาก แถมที่นั่งก็สบายแอร์ก็เย็น
เราต่อรถเมล์สาย 86 ได้ครึ่งทาง แล้วเดินข้ามมาต่อรถสาย 14 อีกครั้ง ในช่วงระหว่างทางก็เดินคุยกันไป

 ทำให้วันนี้มันดูไม่น่าเบื่อเลย เมื่อเรามาถึงอินยา ตอนนั้นแดดยังร้อนมาก ผมพอจะเดาออกว่าเธอคงไม่ชอบแน่ๆ ผมเลยพาเธอเข้าไปเดินในห้างสรรพสินค้า เพื่อรอให้แสงแดดอ่อนกว่านี้อีกหน่อย



เมื่อเราเข้ามาด้านใน ผมพาเธอไปดูสินค้า ต่างคนต่างแนะนำว่าประเทศของตัวเองชอบกินอะไรไม่ชอบอะไร เธอหยิบแคปหมูขึ้นมาแล้วถามว่านี่อะไร เราตอบว่าเป็นเนื้อในส่วนไขมันของหมู แล้วเอาไปทอด ใช้กินกับก๋วยเตี๋ยว เธอไม่ชอบถั่วลันเตา อันนี้ผมจำได้ และเธอไม่กินรสเผ็ด เธอบอกว่าอาหารเธอกินได้หลายอย่างแต่เธอไม่กินรสเผ็ด เพราะมีบางอย่างที่ผมคุยกับเธอเมื่อคืน แต่ผมดันจำไม่ได้ เนื่องจากเมามาก พยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออกและอีกหลายๆอย่างที่ผมดันลืม เรื่องเมื่อคืน 
เรามายืนคุยกันอยู่นานมาก  พอแสงแดดเริ่มอ่อน ผมจึงพาเธอไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกด้านนอก พาเธอเดินเล่น แล้วก็พูดคุยตามภาษาคนเพิ่งรู้จักกัน






หลังจากพระอาทิตย์เริ่มตกดิน พวกเราพากันเดินไปขึ้น รถเมล์สาย 36 เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คนบนรถเยอะมาก ทำให้ในขาลงเราคลาดกันนิดหน่อย ผมเดินลงมาก่อนโดยคิดว่าเธอจะเดินตามลงมาติดๆ แต่เธอติดคนที่อยู่บนรถทำให้เธอออกมาไม่ได้ ผมรีบไปที่ประตูก่อนที่ประตูจะปิด ประตูก็ปิดโดนมือของผมถลอกนิดหน่อย แล้วผมก็หันไปทางคนขับแล้วบอกให้เขาเปิดประตูอีกครั้ง ทั้งคนบนรถและคนที่ป้ายรถเมล์ต่่างจับจ้องมาที่ผม แล้วประตูก็เปิดอีกครั้ง
เธอลงมาด้วยความมึนงง  จากนั้นเราเริ่มหาร้านอาหารที่จะกินกันเย็นนี้ โดยบอกเธอให้ชวนเพื่อนของเธอที่อยู่ที่ห้อง ออกมากินข้าวด้วยกัน แต่เพื่อนของเธอยังคงนอยด์กับเหตุการณ์แว่นของเธอ ทำให้ไม่ยอมกินอะไรเลยทัั้งวัน
ผมบอกเธอว่าเราเดินไปทางที่พักกัน แล้วระหว่างทางก็หาร้านอาหารไปด้วย สุดท้ายเราเดินกันจนถึงที่พักแต่ก็ไม่มีร้านอาหาร จากนั้นเพื่อนของเธอก็เดินมาพอดี ก็เลยชวนไปกินข้าวด้วยกัน แต่เธอยังยืนยันที่จะไม่ไป
และเพื่อนชาวอิสราเอลก็เดินลงมาเจอกันข้างล่าง ผมเลยถามว่าคุณจะไปไหน เพื่อนบอกจะไปหาอะไรกิน ผมเลยชวนไปกินด้วยกัน เพราะเราก็หาร้านกินอยู่พอดี เพื่อนถามแล้วเราจะกินอะไรกันดี เราเลยบอกว่าแล้วแต่คุณเลย อยากกินอะไร จนในที่สุดเพื่อนจะกินซูชิ เรา2คนก็โอเค
พอเดินไปถึง หน้าร้านซูชิ คนเยอะจนน่าตกใจ เราจึงหยิบเมนูมาดูกันก่อน ปรากฏว่าราคาสูงเกินไปสำหรับเขา เพื่อนอิสราเอลรีบขอโทษ ที่ไม่ได้ดูราคามาก่อนซึ่งเราทั้งคู่เข้าใจ แล้วเค้าก็ตัดสินใจไปอีกร้าน เป็นร้านแกงญี่ปุ่นซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก



🇯🇵ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่น ราคาไม่ได้สูงมากนัก พวกเรากินกันไปคุยกันไป มันเป็นความสุขระหว่างทางที่บอกไม่ถูก เมื่อเรากินกันเสร็จ เราพากันไปเดินถนน china town แล้วเมื่อถึงที่พัก ก็ยังนัดแนะกันอีกครั้ง ว่าเมื่ออาบน้ำเสร็จ ให้ไปเจอกันบนดาดฟ้าที่เดิม


เมื่อผมอาบน้ำเสร็จ ผมก็เดินขึ้นไปดาดฟ้า ก็ไปเจอเพื่อนจากประเทศจีน และ อเมริกาอีกครั้ง โดยเฉพาะเพื่อนอเมริกา ผมคิดถึงเป็นพิเศษ เข้าไปกอดแล้วบอกคิดถึงคุณ เนื่องจากเราสนิทกันเป็นพิเศษ ทำให้เราคุยเล่นกันเป็นพิเศษ แล้วเพื่อนอเมริกา ก็วีดีโอคอลหาสาวไทย มาให้ผมคุยก็ยิ่งสนุกกันไปใหญ่ หลังจากนั้นเราอยู่กันจนดึก จนเหลือแค่เพื่อนไต้หวันกับอเมริกา เราก็ได้แยกย้ายกันไปนอน ทุกคนถามถึงเวลาที่ผมต้องกลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ และนัดให้มาเจอกันอีกทีในตอนเช้า ในช่วงอาหารเช้า

02.01.20



และเช้าในวันถัดไป ผมตื่นขึ้นมา และเดินขึ้นมากินข้าวเช้า แน่นอนว่าผมก็เจอทีมงานเดิมแทบจะครบเซต เพิ่มเติมคือมีเพื่อนญี่ปุ่นที่เจอกันในวันสิ้นปี เธอน่ารักมาก กริยามารยาทคือญี่ปุ่นแท้ๆ เวลาหัวเราะหรือพูดตอนกินข้าวต้องเอามือปิดปากตลอด เหลือแค่ใส่ชุดกิโมโนก็เท่านั้นเราก็ทักและคุยกันตามปกติ ส่วนเพื่อนอเมริกาของผมก้ได้ขอเฟสบุคกันไว้ ส่วนเพื่อนไต้หวันที่จะสนิทกับผมเป็นพิเศษ ก็ได้แลกไลน์และไอจีไว้ติดต่อกัน และดูเหมือนเธอจะถามถึงเวลาที่ผมจะกลับอยู่บ่อยครั้ง





🍂 จากนั้นผมก็กลับมาเก็บกระเป๋าที่ห้อง แต่เพื่อนไต้หวันก็ได้ทักเข้ามาขอส่งเราเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะไม่ได้เจอกันอีก พร้อมเพื่อนๆของเธอ ผมตอบตกลงและนัดเวลาเจอกันที่ล็อบบี้โรงแรม เมื่อผมเจอเธอครั้งนี้ มันเศร้านะ ที่เราจะต้องกลับแล้วจริงๆ จะไม่ได้เจอกันแล้ว ผมได้เขียนข้อความใส่โปสการ์ดไว้ให้เธอ ส่วนเธอก้เขียนข้อความในสมุดโน๊ตของผม ส่วนพวกเธอในคืนนี้ต้องต่อรถไฟนอนไปที่เมืองมัณฑะเล และเมืองบากัน ต่อ มีผมคนเดียวที่ต้องกลับ เพื่อนชาวอเมริกา ก็อยู่ต่ออีกไม่นานเท่าไหร่ เพื่อนอิสราเอลก็รอเจอเพื่อนของเขาที่จะมาในวันพรุ่งนี้ ส่วนเพื่อนญี่ปุ่น ก็เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่นี่ จริงๆมีเพื่อนเวียดนามจากไซ่ง่อนแต่กลับไปแล้วที่ไม่ได้พูดถึง และเพื่อนจากอินเดีย



หลังจากนั้น ผมและเพื่อนๆของเธอก็ถ่ายรูปกัน หลายกล้องมาก จากนั้นเพื่อนอิสราเอลคนเดิมก็ลงมาเช็คเอาท์พอดี เพราะจองที่พักไว้ที่อื่น ทำให้เราทั้งหมดถ่ายรูปกับเพื่อนอิสราเอลอีกครั้ง ทุกคนเหมือนรู้จักกันมานาน ทั้งๆที่ เราแค่เจอกัน2-3วัน นั่นคนไม่สำคัญเรากอดกับเพื่อนอิสราเอลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะ say good bye แล้วเดินออกจากโรงแรมไปก่อน
ส่วนเพื่อนชาวไต้หวัน เราไม่กล้าที่จะขอกอดเพราะเขาเป็นผู้หญิง อีกอย่างเราเป็นชาวเอเชีย การกอดเพื่อร่ำลามันอาจใช้ไม่ได้ทุกคนในเอเชีย แต่มันเป็นเรื่องปกติของวัฒนธรรมตะวันตก
ก่อนที่จะกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ  สุดท้ายเธอก็ขอกอดผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผมจะเข้าไปกอดแล้วบอกเธอว่า good luck ก่อนที่ผมจะหันหลังเดินออกมา แล้วไม่หันกลับไปมองพวกเธออีก เพราะผมกลัวอดที่จะกลับไปหาพวกเขาอีกครั้งไม่ได้

 😔 ผมรีบเดินให้เร็วและไปให้ไกลที่สุด ก่อนที่จะหันหลังกลับไปมอง ก็มีเพียงความว่างเปล่าอยู่ในจิตใจ เพราะมีแต่ชาวเมียนมาเดินขวักไขว่กันเต็มไปหมด ผมก้มมองเท้าของผมทั้งสองข้างแล้วเดินต่อไปข้างหน้า เพราะชีวิตต้องก้าวผ่านความรู้สึกต่างๆมากมาย เรื่องนี้ผมรู้ดี ชีวิตผมเดินทางคนเดียวมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันพิเศษกว่า ตรงที่ทุกๆคนมีความสำคัญซึ่งกันและกัน ถึงแม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน และมันฝังลึกเหมือนเข้าไปเติมเต็มอะไรบางอย่างในการเดินทางของผม


 ✉️ โดยข้อความ ที่ผมเขียนให้ไว้กับเธอ มีเพียงคำว่า "ฉันจะคิดถึงในทุกๆเวลา ที่ฉันมองมาที่เมืองย่างกุ้ง"

จากนั้นผมเดินต่อไปที่ sule square เพื่อไปซื้อชากลับไทย ซื้อถุงใหญ่ 30 ซอง ตกราคา 60 บาท แล้วก็เดินขึ้นไปกินอาหาร ญี่ปุ่น เป็นราเมน ญี่ปุ่น ชามละประมาณ 100 บาท 




แล้วก็นั่งรอเวลา เพื่อที่จะขึ้นชัตเติ้ลบัสกลับ สนามบิน ในราคา 500 จ๊าด  พอได้เวลาประมาณ บ่ายโมงครึ่ง ผมก็ออกไปรอรถบัสเข้าสนามบิน   เมื่อถึงสนามบิน  ก็ไปแลกเงินคืน แล้วก็เช็คอิน เสร็จแล้วก็เข้าผ่าน ตม. แล้วมาเดินเล่นแถว DUTY FEE เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับไทย   จากย่างกุ้งใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงกรุงเทพแล้ว 






🌎 สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมด มันเป็นเหมือนสตอรี่ในชีวิตจริง ไม่ใช่นิยาย มีเรื่องราวระหว่างทางข้างหน้าที่ยังรอเราอีกมากมาย และตอนนี้ทำให้ผมได้รู้ว่า เรื่องราวระหว่างทางมันสำคัญไม่ใช่เฉพาะแค่ปลายทาง ยังมีเรื่องราวอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ถูกนำมาเล่า พยายามเขียนให้ละเอียดเพราะเมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะจางไปตามกาลเวลา รายละเอียดมันก็จะเลือนไปตามกาลเวลาเช่นกัน






Popular Posts

Facebook