ชีวิตเริ่ม... เมื่อเริ่ม"ใช้ชีวิต"


โพสต์แนะนำ

ยินดี ปีนัง : hello penang ep.1

สวัสดี ปีนัง             เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง   อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากท...

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เวียงจันทน์ 2 วันก็ลุยได้


บันทึกการเดินทาง

ณ วันที่  20-21.04.19

เวียงจันทน์ ประเทศลาว


    ทริปนี้เรา มีแพลนเดินทางกัน 2 วัน 1 คืน  แต่เราเดินทางไกลกันถึงเวียงจันทน์ ประเทศ ลาว  จริงๆผมเคยไปเมืองเวียงจันทน์ แล้ว 1 ครั้ง แต่ครั้งนั้น เราไม่ได้ซึมซับ หรือตั้งใจไปเวียงจันทน์จริงๆ  ครั้งนั้นเป็นแค่จุดพักเมื่อเราไปวังเวียงเท่านั้น  

แต่ครั้งนี้ เราตั้งใจไปเยือนเมืองนี้จริงๆ เมืองที่ชื่อว่า เวียงจันทน์ 
 เป็นเมืองหลวงของ สปป.ลาว  ประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง  
แต่ครั้งนี้เราจะเดินทางกันแค่ ช่วงเสาร์ อาทิตย์เท่านั้น ไม่ลาเพิ่ม 





แต่ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ 
ทริปแบบนี้เหมาะกับคนที่มีเวลาน้อยจริงๆ

เพราะเวลาแค่นี้ แน่นอนว่ามันไม่สามารถ
ที่จะเที่ยวได้ทุกจุดจริงๆ

โอเคร เราไปเริ่มการเดินทางกันเลย 

เราเริ่มต้นเดินทางกันเช้าวันเสาร์ โดยสายการบินแอร์เอเชีย
เจ้าเดิม  นั่งจากดอนเมือง แล้วไปลง อุดรธานี

เราบินเวลา 07.30 ถึงอุดร ประมาณ 9 โมง  
เมื่อรับกระเป๋า เสร็จก็เดินออกไปหน้าสนามบิน

จะมีชัตเติ้ลบัสที่พาเราไปขนส่งที่ตัวเมืองอุดรครับ
ค่ารถก็แสนถูกเพียง 20 บาทเท่านั้น 
ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาที



ก็ถึงขนส่งของจังหวัดอุดรธานี
เราเดินเข้าไปในสถานีขนส่ง 

แล้วหาช่องขายตั๋วของ บริษัท บขส.
เพื่อนั่งข้ามไปเวียงจันทร์ 

เมื่อเดินเข้ามา ช่องขายตั๋วจะอยู่ด้านใน ซ้ายมือ
มีป้ายบอกชัดเจน  ก็เดินเข้าไปซื้อตั๋ว
โดยใช้พาสปอร์ตซื้อ คนละ 80 บาท



เราได้ตั๋วรอบ 10 โมง มา คาดว่าน่าจะถึงเวียงจันทน์ประมาณ เที่ยง
ไม่นาน รถก็ออกจากท่ารถ 
มุ่งตรงสู่ชายแดน มิตรภาพไทยลาว

ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็มาถึงด่านชายแดน
เราก็ต้องลงไปปั๊มพาสปอร์ตขาออก
แล้วรถจะไปรอรับเราอยู่อีกฝั่ง

เมื่อออกมาจาก ตม. ก็ขึ้นรถคันเดิม
แล้วก็ข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว
เมื่อถึงด่านฝั่งลาว ก็ลงรถไปปั๊มพาสปอร์ตเหมือนเดิม
เพิ่มเติม คือเสียเงินประมาณ 40 บาท






ค่าเหยียบแผ่นดิน
หลังจากออกมาได้ ก็เดินไปขึ้นรถบัสคันเดิม
แล้วรถก็มุ่งตรงสู่เวียงจันทน์ อีกครึ่งชม.

รถบัสมาส่งเรา ณ ขนส่งใจกลางเมืองเวียงจันทน์ 
เมื่อเราลงรถได้ ก็เข้าไปนั่งกินข้าวกลางวัน
ร้านเดิม เป๊ะ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่เคยมากิน


แน่นอนว่า เราก็สั่งข้าวเปียกเหมือนเดิม
โดยการที่เราข้ามมาที่ลาวนี้
เราไม่ได้ซื้อเน็ต ซิมแต่อย่างใด
ก็ยอมใช้ไวไฟ โรงแรมเอานี่แหละ



หลังจากกินอิ่ม ก็ได้เวลา 
ออกเดินทางไปโรงแรมกันต่อ 

และการเดินทางที่ดีที่สุดคือ 
เดินครับ พี่น้อง เดินอีกแล้ว
กลางแดดร้อนๆ เอาอีกแล้ว

เหมือนครั้งก่อนเป๊ะ
แต่โรงแรมที่เรานอนวันนี้ เป็นแบบส่วนตัว
ไม่ใช่ห้องรวมเหมือนครั้งที่แล้ว

เมื่อเราถึงที่พัก  เราทำการเช็คอิน
แล้วก็เข้าที่พักกันเลย 
ไม่พูดพร่ำเยอะครับ

เดินออกไปซื้อเบียร์ ก่อนเลย อันดับแรก
ซื้อมา 4 ขวดเล็กตกขวดละประมาณ 28 บาท
ประเทศไทยขายขวดละ60กว่าบาท


อยากบอกว่าโฮการ์เด้นที่นี่ขายขวดละ 60 เอง
แม่เจ้า นี่มันสวรรค์นักดื่มชัดๆ

เอาล่ะ เมื่อเครื่องดื่มพร้อมก็ออกไปแช่น้ำที่สระว่ายน้ำ 
แล้วก็จิบเบียร์เย็นๆ ไปด้วย คงจะฟินไม่น้อย

เบียร์เย็นๆ พร้อมเล่นน้ำเย็นๆในสระ
ท่ามกลางอากาศร้อนๆ 
มันเป็นอะไรที่ชิลดี

ลงเล่นได้ซักพัก ก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนแป๊ปนึง
ตอนเย็นก็ค่อยออกไปเดินเล่นแถว ประตูไซ

ตกเย็น ก็ออกไปเดินเล่นแถว ประตูไซ
ไปถ่ายรูปให้ฉ่ำอุรา  แล้วก็เดินต่อไปที่ ริมแม่น้ำโขงง
เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่




ใกล้ๆกับรูปปั้้นเจ้าอนุวงศ์
ในบริเวณ ริมน้ำโขงนี้ จะมีผู้คนท้องถิ่น
ออกมา เดินเล่น ออกกำลังกาย 
ถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อีกที่นึง



และใกล้ๆกันยังมี ถนนคนเดินเวียงจันทน์ ให้เราได้เดิน
จับจ่ายใช้สอยอีกด้วย 
แต่ว่าสินค้าก็เหมือนๆ กับบ้านเราเลย ไม่ต่างกัน
ราคาอาจสูงกว่าด้วย

เดินไปเดินมา อ้าวเย็นซะแระ
ก็ได้เวลาหา อาหารใส่ท้องอีกแล้วสินะ
มื้อนี้ เปิดด้วยเบียร์โฮการ์เด้น ก่อนเลยครับผม








แล้วตามด้วยผัดไท 
จากนั้น ต่อด้วยโรตี และลูกชิ้นกับน้ำจิ้ม ถั่วแปลกๆ
555 ซื้อมาลองกินดู

จากนั้น ก็เดินดูรอบๆเมืองยามค่ำคืน ว่ามีอะไรบ้าง
ปรากฏว่าเงียบมาก 
ยามค่ำคืนที่นี่ไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่
เออ แปลกดี ปกติเมืองหลวง จะคึกคัก ยามค่ำคืน
แต่นี่เงียบกริบ



ขนาดเดินกลับโรงแรม ยังค่อนข้างวังเวง
ตอนแรกกะว่าจะออกไปหาร้านแฮงค์เอาท์
แต่พอเดินๆดู เออ เว้ย มันไม่มีร้านจริงๆ

ก็เลยไม่ได้ออกมาแฮงค์
ก็กลับโรงแรมนอน พักผ่อน จิบเบียร์ที่ห้องไปเรยจร้า


21.04.19




ตื่นเช้านี้มา ที่เมืองเวียงจันทน์  ลงไปกินอาหารเช้า
โดยอาหารเช้าที่นี่ เป็นอาหารเช้าแบบฝรั่ง
คือมีไส้กรอก ข้าวผัด ไข่ดาว นม น้ำส้ม

เหมือนอาหารเช้าบุฟเฟต์ในโรงแรมทั่วไป
จากนั้นก็ขึ้นไปเก็บของ แล้วจัดการเบียร์ที่เหลือให้สิ้นซาก

เก็บของ เช็คเอาท์ แล้วก็ฝากกระเป๋าเอาไว้ที่โรงแรม
แล้วออกไปเดินเล่น โดยเราเช่า จักรยานแถวๆที่พักนั่นแหละ
ในราคา 80 บาท เพื่อปั่นเที่ยวรอบเมือง



แต่ลืมไปว่าอากาศมันค่อนข้างร้อน
ทำให้เหงื่อออกมาเต็มหลัง เหนียวไปทั้งตัว

เราแวะกันที่แรก นั่ก็คือธาตุดำ ตั้งอยู่ใจกลาง 4 แยก เปรียบเสมือน
อนุสาวรีย์เลยก็ว่าได้



จากนั้น ก็ไปแวะต่อที่ พระธาตุหลวง
เมืองเวียงจันทน์  ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปนี้

คือมาครั้งที่แล้ว ก็ไม่ได้มาที่นี่ เพราะว่ามาไม่ทันเวลา
เวลามีน้อย ณ วันนั้น

วันนี้ก็เลย มาเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง
ปั่นมาจากประตูไซประมาณ 2 - 3 กิโลได้
ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค แต่อุปสรรคคือ แสงแดดที่กำลังแผดเผา

แต่ถามว่าหวั่นมั๊ย ก็ไม่เลยแม้แต่น้อย
ยังวัยรุ่นอยู่ ใช้ชีวิตให้มันสุดไปเลย

ใช้เวลาไม่นานในการปั่นขึ้นเนินมา
สุดท้ายเราก็รอดตาย มาถึงจนได้
เสียค่าเข้าคนละ 40 บาท หรือประมาณ 10000 กีบ














เพื่อเข้าไปชมความงดงาม พระธาต ที่ชาว สปป ลาว
ต่างเคารพนับถือ

โดยตัวพระธาต นั้นเป็นสีเหลืองทองอร่าม ชัดเจน
เมื่อกระทบแสงแดดแล้ว ทำให้สะท้อน
เป็นแสงสีทองสวยงามเป็นอย่างมาก

โดยพระธาตนี้มีอายุเก่าแก่มากๆ
ถ้ามองจากตาเปล่า คือผมเองก็ไม่ได้ศึกษา
ประวัติศาสตร์อะไรมากกับสถานที่แห่งนี้
แต่ถ้าใครชื่นชอบประวัติศาสตร์ รับรองว่าคุณต้องอินแน่นอน




ใช้เวลาอยู่พระธาตหลวงอยู่เป็นชั่วโมง
ก็ได้เวลากลับตัวเมืองและแวะวัดสุดท้าย
น่าจะเป็นวัดสีสะเกด

เป็นวัดที่ทัวร์ของเวียงจันทน์ต้องมาลงอย่างแน่นอน
ถ้าใครมาเมืองนี้ ก็ไม่ควรพลาดวัดสีสะเกด อีกที่นึงที่แนะนำ
ในโบสถ์มีความสวยงามมาก
แต่ห้ามถ่ายรูปเอาไว้ เลยไม่ได้ถ่ายรูปด้านในมา







แต่โดยรวมของวัดนี้ น่าจะอยู่คู่บ้านคู่เมืองเวียงจันทน์
มานานมาก  และคงมีประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากมาย
แต่ก็อย่างที่บอก ว่าผมเองก็ไม่ใช่สายทางนี้ซักเท่าไหร่

ทางของผม คือ ธรรมชาติซะมากกว่า
ส่วนสถาปัตยกรรม ก็อินบ้างเป็นบางที่
ถ้าเรารู้เบื้องหลังความเป็นมาก็จะทำให้เราอินมากกว่านี้

อากาศเมืองนี้มันช่างร้อนซะจริงๆ
ก็ต้องดับร้อนด้วยร้านกาแฟซะหน่อย
โดยเราแวะกันที่ร้านกาแฟชื่อดังอย่าง JO MA CAFE

บรรยากาศในร้าน ก็จะเป็นสไตล์ โฮมเมด นั่นแหละ
สั่งมะนาวปั่นมากินน่าจะชื่นใจ






เอาล่ะ พอได้เวลา
ก็ต้องกลับไปเอาจักรยานไปคืน พร้อมกับ ไปเอากระเป๋า
แล้ว เดินไปที่ท่ารถ เพื่อที่จะหารถกลับอุดร



พอไปถึงขนส่ง รอบรถที่มีคือ 16.00เลย
เราก็เลย คิดแผนใหม่  ก็นั่งlocal bus นี่แหละ
ไปลง ชายแดน ตม.ฝั่งลาว

ราคาประมาณ 10 บาท
เมื่อถึงชายแดน ตม. เราก็ลงไปปั๊มพาส ขาออกจากลาว
แล้วก็ไปซื้อตั๋วรถบัส ข้ามฝั่งสะพานมิตรภาพ อีกประมาณ 15 บาท
แล้วก็ลงไปปั๊ม พาส ขาเข้าประเทศไทย

ก็เป็นอันกลับสู่อ้อมกอดของประเทศไทย
แล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆ เพื่อไปขึ้นรถตู้ที่อยู่ใกล้ๆกับเซเว่น อีกคนละ 100 บาท
เพื่อไปลง ขนส่งอุดร

ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
ก็ถึงขนส่งอุดร เหมือนเดิมกับขามาคือ
ขึ้นรถ ชัตเติ้ลบัส สนามบิน เพื่อไปขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพ

รอไม่นาน ยืนโบกรถอยู่ข้างถนน
รถก็มา 20 บาท ตลอดสายเท่าเดิม
ใช้เวลาประมาณ ครึ่ง ชม. ก็ถึงสนามบิน

แล้วก็ไปขึ้นเครื่องรอบ ทุ่มกว่า เป็นอันจบทริป เวียงจันทน์

แค่่เสาร์ อาทิตย์ โดยสมบูรณ์แบบ

ไว้ครั้งหน้าเราจะเดินทางไปไหนกันต่อ
ก็ยังไม่รู้แต่ ชีวิต มันก็คือการเดินทางไกลนั่นแหละ
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ
ทุกคนก็ยังตองเดินทาง บนเส้นทางเดินของตัวเองกันทั้งนั้น

อย่างนึงที่สำคัญเมื่อมีโอกาสแล้ว ก็อยากให้คว้ามันไว้
ต่อให้มันอาจจะไม่ดี หรือดี ก็แล้วแต่
แต่อย่างน้อยเราไม่ได้ทิ้งโอกาสให้มันผ่านลอยไป







แล้วกลับมานั่งคิดว่า วันนั้น เราน่าจะทำมันว่ะ
วันนี้้เราอาจจะไม่รู้สึกเสียดายกับโอกาสที่มันผ่านไปแล้ว

Related Posts:

Popular Posts

Facebook